“โสภณ” ยันไม่แทรกแซงการบินไทย เปิดทาง”ปิยสวัสดิ์”ทำงานเต็มที่ เน้นฟื้นองค์กร ไม่ให้ขาดทุน สร้างความพึงพอใจให้ผู้ใช้บริการ “ดีดีใหม่”เตรียมหอบแผนฟื้นจำปีรายงานอีกครั้งสัปดาห์หน้า
นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (ดีดี) บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เข้าพบเพื่อรับนโยบายในการทำงานภายหลังรับตำแหน่ง วานนี้ (21 ต.ค.) ว่า นโยบายสำคัญคือให้บริการบริษัทให้ดีและผลประกอบการไม่ขาดทุน และประชาชนผู้ใช้บริการพอใจ ชื่นชมในบริการ ซึ่งจะมีการนำแผนการฟื้นฟูและดำเนินงานของบริษัทมาให้ตนดูในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ ยืนยันว่าจนไม่เข้าไปแทรกแซงการทำงานของฝ่ายบริหาร ซึ่งไดมีการทำความเข้าใจกันอย่างชัดเจนแล้วว่า หน้าที่ของรัฐมนตรีคือกำกับเฉพาะนโยบาย ส่วนดีดี มีหน้าที่ในการบริหารจัดการ ซึ่งการบินไทยเป็นบริษัทมหาชน ดังนั้น ต้องการให้ข้อมูลต่างๆ ต้องมีความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียกระทบต่อบริษัท ซึ่งต้องมีความชัดเจนในเรื่องข้อมูลและคนที่สามารถให้ข้อมูล
“ได้ทำความเข้าใจและแยกหน้าที่กันชัดเจนว่ารมต.จะไม่เข้าไปแทรกแซงการทำงานในฝ่ายปฎิบัติการ จะกำกับนโยบายเท่านั้น ประเด็นสำคัญคือต้องพาองค์กรให้รอดพ้นวิกฤติให้ได้ และมาขาดทุนแต่ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องมีกำไร”นายโสภณกล่าว
อย่างไรก็ตามนายปิยสวัสดิ์ได้เข้ารับตำแหน่งดีดีการบินไทยเมื่อวันที่ 19 ต.ค. 52 ที่ผ่านมา โดยวางกรอบการทำงานใน 2 ปีแรก จะเป็นการฟื้นฟูบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง ปรับปรุงคุณภาพบริการ คุณภาพผลิตภัณฑ์ และฐานะทางการเงิน ส่วน 2 ปีหลังจะเป็นการพัฒนาองค์กรไปข้างหน้า ก้าวเป็นสายการบินชั้นนำ 1 ใน 5 ของโลก ซึ่งเชื่อว่าบริษัทจะฝ่าวิกฤตไปได้โดยใช้จุดแข็งที่มีพนักงานมีความสามารถ ตั้งใจทำงานและเสียสละ
โดยเรื่องที่สามารถดำเนินการได้ทันทีคือ การปรับปรุงเมนูอาหาร ปรับปรุงการจองบัตรโดยสารทางอินเตอร์เน็ตปรับปรุงคุณภาพการบริการให้มีความสม่ำเสมอ ส่วนที่ต้องเวลาแต่จะเห็นผลภาย 2 ปีแรก เช่น ปรับปรุงที่นั่งบนเครื่องบิน ซึ่งทั้งหมดจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มให้บริษัทได้ เพราะจะลดข้อจำกัดในการกำหนดราคาค่าโดยสาร รวมถึงฝ่ายการพาณิชย์จะต้องหาทางเพิ่มรายได้ด้วยการเพิ่มช่องทางการขายตั๋ว
โดยนายปิยสวัสดิ์กล่าวว่า จะปรับโครงสร้างทางการเงินของบริษัท เช่นเพิ่มทุนและยืดเวลาชำระหนี้ให้ยาวขึ้นจากภาระหนี้จะอายุประมาณ 5-6 ปี โดยตั้งเป้าลดสัดส่วนหนี้สินต่อทุนที่ 3 ต่อ 1 ลงเหลือ 2 ต่อ 1 ภายในปีหน้า และคาดการณ์รายได้2553 ไว้ที่ 186,183 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2552 ประมาณ18%
นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (ดีดี) บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เข้าพบเพื่อรับนโยบายในการทำงานภายหลังรับตำแหน่ง วานนี้ (21 ต.ค.) ว่า นโยบายสำคัญคือให้บริการบริษัทให้ดีและผลประกอบการไม่ขาดทุน และประชาชนผู้ใช้บริการพอใจ ชื่นชมในบริการ ซึ่งจะมีการนำแผนการฟื้นฟูและดำเนินงานของบริษัทมาให้ตนดูในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ ยืนยันว่าจนไม่เข้าไปแทรกแซงการทำงานของฝ่ายบริหาร ซึ่งไดมีการทำความเข้าใจกันอย่างชัดเจนแล้วว่า หน้าที่ของรัฐมนตรีคือกำกับเฉพาะนโยบาย ส่วนดีดี มีหน้าที่ในการบริหารจัดการ ซึ่งการบินไทยเป็นบริษัทมหาชน ดังนั้น ต้องการให้ข้อมูลต่างๆ ต้องมีความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียกระทบต่อบริษัท ซึ่งต้องมีความชัดเจนในเรื่องข้อมูลและคนที่สามารถให้ข้อมูล
“ได้ทำความเข้าใจและแยกหน้าที่กันชัดเจนว่ารมต.จะไม่เข้าไปแทรกแซงการทำงานในฝ่ายปฎิบัติการ จะกำกับนโยบายเท่านั้น ประเด็นสำคัญคือต้องพาองค์กรให้รอดพ้นวิกฤติให้ได้ และมาขาดทุนแต่ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องมีกำไร”นายโสภณกล่าว
อย่างไรก็ตามนายปิยสวัสดิ์ได้เข้ารับตำแหน่งดีดีการบินไทยเมื่อวันที่ 19 ต.ค. 52 ที่ผ่านมา โดยวางกรอบการทำงานใน 2 ปีแรก จะเป็นการฟื้นฟูบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง ปรับปรุงคุณภาพบริการ คุณภาพผลิตภัณฑ์ และฐานะทางการเงิน ส่วน 2 ปีหลังจะเป็นการพัฒนาองค์กรไปข้างหน้า ก้าวเป็นสายการบินชั้นนำ 1 ใน 5 ของโลก ซึ่งเชื่อว่าบริษัทจะฝ่าวิกฤตไปได้โดยใช้จุดแข็งที่มีพนักงานมีความสามารถ ตั้งใจทำงานและเสียสละ
โดยเรื่องที่สามารถดำเนินการได้ทันทีคือ การปรับปรุงเมนูอาหาร ปรับปรุงการจองบัตรโดยสารทางอินเตอร์เน็ตปรับปรุงคุณภาพการบริการให้มีความสม่ำเสมอ ส่วนที่ต้องเวลาแต่จะเห็นผลภาย 2 ปีแรก เช่น ปรับปรุงที่นั่งบนเครื่องบิน ซึ่งทั้งหมดจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มให้บริษัทได้ เพราะจะลดข้อจำกัดในการกำหนดราคาค่าโดยสาร รวมถึงฝ่ายการพาณิชย์จะต้องหาทางเพิ่มรายได้ด้วยการเพิ่มช่องทางการขายตั๋ว
โดยนายปิยสวัสดิ์กล่าวว่า จะปรับโครงสร้างทางการเงินของบริษัท เช่นเพิ่มทุนและยืดเวลาชำระหนี้ให้ยาวขึ้นจากภาระหนี้จะอายุประมาณ 5-6 ปี โดยตั้งเป้าลดสัดส่วนหนี้สินต่อทุนที่ 3 ต่อ 1 ลงเหลือ 2 ต่อ 1 ภายในปีหน้า และคาดการณ์รายได้2553 ไว้ที่ 186,183 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2552 ประมาณ18%
