เอสเอฟพึ่งกลยุทธ์พาร์ทเนอร์ดันรายได้ เหตุมาร์จิ้นสูงกว่าตั๋วหนัง วางสัดส่วนรายได้ 25% ในอนาคตจากกลยุทธ์นี้ ล่าสุดคว้าธีร์โฮลดิ้ง เซ็นสัญญา 3 ปี งบ 30 ล้านบาท
นายสุพัฒน์ งามวงศ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัทในเครือ เอสเอฟ ซีเนม่า จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯจะเน้นกลยุทธ์การหาพันธมิตรทำธุรกิจและการตลาดเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทฯมี พันธมิตร 3 กลุ่มหลักคือ 1. สตราติจิกพาร์ทเนอร์ (Strategic Partner) เป็นพันธมิตรแบบเอ็กซ์คลูซีฟ แบรนด์เดียวในกลุ่มนั้นที่จำหน่ายในเอสเอฟ เช่น โค้ก , 2. พาร์ทเนอร์หลัก (Main Partner) เป็นพาร์ทเนอร์ยาว ทำกิจกรรมระยะยาวและ 3. พันธมิตรทั่วไป ซึ่งจะมีการทำกิจกรรมระยะสั้น
การหาพาร์ทเนอร์เพิ่มขึ้นเนื่องจากการทำตลาดและกิจกรรมกับพันธิมตรโดยเฉพาะ เมนพาร์ทเนอร์จะสามารถสร้างรายได้และมาร์จิ้นได้ดีกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจขายตั๋วหนังที่จะมีความเสี่ยงต่กการผันแปรของเศรษฐกิจรวมทั้งต้องแบ่งเปอร์เซนต์ให้กับค่ายเของหนังด้วย อย่างไรก็ตาม ธุรกิจหลักยังคงมากหนังคือ สัดส่วน 70% ,โบว์ลิ่ง 20% และรายได้อื่นๆ 10% บริษัทฯคาดวว่าในอนาคต สัดส่วนรายได้จากการทำร่วมกับพาร์ทเนอร์จะเพิ่มขึ้นเป็น 20-25% ขณะที่สัดส่วนรายได้อื่นจะลดลงมา
โดยที่บริษัทฯวางเป้าหมายที่จะมีเมนพาร์ทเนอร์เพิ่มตลอด และขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับสินค้าและบริการหลายราย ล่าสุดคือ ร่วมมือกับทางบริษัท ธีร์โฮลดิ้ง จำกัด ผู้จัดจำหน่ายซีเล็คทูน่า และปลาเส้นฟิชโช ในการเป็นเมนพาร์ทเนอร์ เพื่อทำการตลาดร่วมกันลักษณะ ไลฟ์สไตล์มาร์เก็ตติ้ง แบบ 360 องศา โดยมีสัญญานาน 3 ปี รวมงบประมาณ 30 ล้านบาท
สำหรับความร่วมมือดังกล่าว เอสเอฟจะเพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าปลาเส้นฟิชโชในโรงหนังเครือเอสเอฟกว่า 19 สาขา การเพิ่มเมนูพิเศษให้ลูกค้าที่เอสเอฟสไตร์คโบว์ลและเอสเอฟมิวสิคซิตี้ ซึ่งฟิชโชจะลงโฆษณาในโรงหนังด้วย และการมอบสิทธิพิเศษต่างๆ เช่น เมื่อซื้อตั๋ว 1 ที่นำซองเปล่าฟิชโชมาแลกตั๋วอีก 1 ที่ฟรี กับหนังเรื่อง 5 แพร่ง เป็นต้น
นายสุพัฒน์กล่าวว่า ในช่วง 3 ไตรมาสปีนี้ บริษัทฯเติบโตแค่ 10% แต่จากกลยุทธ์ดังกล่าวน่าจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรโดยมีนายได้ประมาณ 2,200 ล้านบาท หรือ ยอดขยตั๋ว 10 ล้านใบ เติบโต 20% ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ นอกจากนั้นจะมาจากหนังฟอร์มใหญ่ที่จะฉายไตรมาสสี่อีกมากที่คาดว่ารายได้เกิน 100 ล้านบาทต่อเรื่อง เช่น รถไฟฟ้ามาหานะเธอ ,องค์บาก 3 , 2012 , นิว มูน ภาคต่อของแวมไพร์ทไวไลท์ , Avatar เป็นต้น
ล่าสุดเดือนต.ค.นี้ มีภาพยนตร์ที่จะเป็นสีสันคือ ภาพยนตร์ของ ไมเคิล แจ๊คสัน This is it ที่จะออกฉายพร้อมกันทั่วโลกในวันที่ 28 ต.ค.-10 พ.ย.นี้ รวม 14 วัน ซึ่งเอสเอฟเองก็จะจัดกิจกรรมรองรับด้วย ที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์
นายสุพัฒน์ งามวงศ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัทในเครือ เอสเอฟ ซีเนม่า จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯจะเน้นกลยุทธ์การหาพันธมิตรทำธุรกิจและการตลาดเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทฯมี พันธมิตร 3 กลุ่มหลักคือ 1. สตราติจิกพาร์ทเนอร์ (Strategic Partner) เป็นพันธมิตรแบบเอ็กซ์คลูซีฟ แบรนด์เดียวในกลุ่มนั้นที่จำหน่ายในเอสเอฟ เช่น โค้ก , 2. พาร์ทเนอร์หลัก (Main Partner) เป็นพาร์ทเนอร์ยาว ทำกิจกรรมระยะยาวและ 3. พันธมิตรทั่วไป ซึ่งจะมีการทำกิจกรรมระยะสั้น
การหาพาร์ทเนอร์เพิ่มขึ้นเนื่องจากการทำตลาดและกิจกรรมกับพันธิมตรโดยเฉพาะ เมนพาร์ทเนอร์จะสามารถสร้างรายได้และมาร์จิ้นได้ดีกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจขายตั๋วหนังที่จะมีความเสี่ยงต่กการผันแปรของเศรษฐกิจรวมทั้งต้องแบ่งเปอร์เซนต์ให้กับค่ายเของหนังด้วย อย่างไรก็ตาม ธุรกิจหลักยังคงมากหนังคือ สัดส่วน 70% ,โบว์ลิ่ง 20% และรายได้อื่นๆ 10% บริษัทฯคาดวว่าในอนาคต สัดส่วนรายได้จากการทำร่วมกับพาร์ทเนอร์จะเพิ่มขึ้นเป็น 20-25% ขณะที่สัดส่วนรายได้อื่นจะลดลงมา
โดยที่บริษัทฯวางเป้าหมายที่จะมีเมนพาร์ทเนอร์เพิ่มตลอด และขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับสินค้าและบริการหลายราย ล่าสุดคือ ร่วมมือกับทางบริษัท ธีร์โฮลดิ้ง จำกัด ผู้จัดจำหน่ายซีเล็คทูน่า และปลาเส้นฟิชโช ในการเป็นเมนพาร์ทเนอร์ เพื่อทำการตลาดร่วมกันลักษณะ ไลฟ์สไตล์มาร์เก็ตติ้ง แบบ 360 องศา โดยมีสัญญานาน 3 ปี รวมงบประมาณ 30 ล้านบาท
สำหรับความร่วมมือดังกล่าว เอสเอฟจะเพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าปลาเส้นฟิชโชในโรงหนังเครือเอสเอฟกว่า 19 สาขา การเพิ่มเมนูพิเศษให้ลูกค้าที่เอสเอฟสไตร์คโบว์ลและเอสเอฟมิวสิคซิตี้ ซึ่งฟิชโชจะลงโฆษณาในโรงหนังด้วย และการมอบสิทธิพิเศษต่างๆ เช่น เมื่อซื้อตั๋ว 1 ที่นำซองเปล่าฟิชโชมาแลกตั๋วอีก 1 ที่ฟรี กับหนังเรื่อง 5 แพร่ง เป็นต้น
นายสุพัฒน์กล่าวว่า ในช่วง 3 ไตรมาสปีนี้ บริษัทฯเติบโตแค่ 10% แต่จากกลยุทธ์ดังกล่าวน่าจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรโดยมีนายได้ประมาณ 2,200 ล้านบาท หรือ ยอดขยตั๋ว 10 ล้านใบ เติบโต 20% ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ นอกจากนั้นจะมาจากหนังฟอร์มใหญ่ที่จะฉายไตรมาสสี่อีกมากที่คาดว่ารายได้เกิน 100 ล้านบาทต่อเรื่อง เช่น รถไฟฟ้ามาหานะเธอ ,องค์บาก 3 , 2012 , นิว มูน ภาคต่อของแวมไพร์ทไวไลท์ , Avatar เป็นต้น
ล่าสุดเดือนต.ค.นี้ มีภาพยนตร์ที่จะเป็นสีสันคือ ภาพยนตร์ของ ไมเคิล แจ๊คสัน This is it ที่จะออกฉายพร้อมกันทั่วโลกในวันที่ 28 ต.ค.-10 พ.ย.นี้ รวม 14 วัน ซึ่งเอสเอฟเองก็จะจัดกิจกรรมรองรับด้วย ที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์