เสี่ยเจียง พลิกแผนสู้วิกฤตเศรษฐกิจ เดินแผนลดต้นทุนผลิตหนังฟอร์มเล็ก ตัดเหลือ 10-20 ล้านบาท จากเดิมลงทุน 20-30 ล้านบาท พร้อมซื้อกล้องใหม่ดิจิตอล 10 ล้านบาท แทนการเช่า หลังเจอพิษเศรษฐกิจกระแทกรายได้หนังไม่ตามเป้าหดลง 10% หวังรายได้ต่างประเทศทดแทน
นายสมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ประธานกรรมการ บริษัท สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ เสี่ยเจียง กล่าวว่า บริษัทจะปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจใหม่จากนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของหนังแต่ละเรื่อง โดยจะลดต้นทุนการผลิตหนังแต่ละเรื่องเหลือ 10-20 ล้านบาทต่อเรื่อง จากเดิมลงทุน 20-30 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ยังคงใช้งบเฉลี่ย 70-100 ล้านบาทเท่าเดิม เพราะมั่นใจว่ายังขายได้ และสร้างเฉลี่ย 3-4 เรื่องต่อปี
รวมทั้งการบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น เพื่อชดเชยรายได้ในประเทศที่ลดลง อันเนื่องมาจากปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์และภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี โดยหนังฟอร์มใหญ่ที่ทำตลาดต่างประเทศเช่น ตำนานสมเด็จพระนเรศวร หนังของ จา-พนม ตะเบงมาร องค์บาก 4 และยังมีการลงทุนร่วมกับทางบริษัท เวิร์คพ้อยท์ เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด (มหาชน) ในการทำหนังอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์ด้วย
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังลงทุนอีก 10 ล้านบาท เพื่อซื้อกล้องถ่ายทำหนังระบบดิจิตอล ซึ่งเดิมใช้วิธีการเช่ากล้องมาถ่ายทำ ซึ่งมีต้นทุนประมาณ 3 ล้านบาทต่อครั้ง แต่เมื่อซื้อใหม่แล้วต้นทุนลดเหลือ 7 แสนบาท และบริษัทยังมีปริมาณหนังที่ต้องถ่ายทำต่อปีมากอยู่แล้ว
สำหรับในครึ่งปีหลังนี้ บริษัทจะมีหนังเข้าฉายโรงหนังทุกเดือน ฟอร์มเล็กบ้าง หรือใหญ่บ้างสลับกันไปทั้งยังสร้างเองและหนังนำเข้า เช่น องค์บาก4 แวมไพร์ ทไวไลท์
ภาวะเศรษฐกิจตอนนี้ไม่ดี ทำให้ยอดขายของเราแต่ละเรื่องได้รับผลกระทบมาก รายได้เราลดลงกว่า 10% แล้วจากหนังที่เข้าฉายไปแล้วประมาณ 8 เรื่อง ขณะที่ทั้งปีตั้งเป้าหมายจะมีหนังเข้าฉายประมาณ 15-18 เรื่อง เช่น เรื่อง จี้ จ้า ดื้อ สวย ดุ ซึ่งเดิมทีวางเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 70 ล้านบาท แต่คาดว่า จะทำได้เพียง 40 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าหนังเรื่องช็อคโกแลต ด้วยซ้ำไป ซึ่งจากนี้ต้องพึ่งพารายได้จากการฉายในต่างประเทศแล้ว
โดยช่วงครึ่งปีแรกนี้ บริษัทมีรายได้จากต่างประเทศประมาณ 175 ล้านบาท จากการที่นำหนังของบริษัทฯออกไปขายในตลาดต่างประเทศ และมั่นใจว่าช่วงเวลาที่เหลือจากนี้ถึงสิ้นปี จะสามารถขายหนังได้อีกหลายเรื่อง รวมแล้วจะมีรายได้ส่วนนี้ประมาณ 350 ล้านบาท
ทั้งนี้ นายสมศักดิ์ ยังได้กล่าวให้ความเห็นถึงกรณีที่กระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศใช้เรตติ้งภาพยนตร์แล้วอย่างเป็นทางการว่า ยงไม่สามารถตอบได้ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร ต้องรอดูอีกสักพัก หากไม่ดีก็คงต้องแก้ไขกันไป ส่วนกรณีที่หนังเรื่องบุปผาราตรี3.2 ถูกจัดอยู่ในเรตติ้งที่เหมาะสมกับเด็กที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป คิดว่ามไม่น่าจะมีปัญหา และเรื่องนี้ควรให้ทางสมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งประเทศไทยช่วยดูแลด้วย
นายสมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ประธานกรรมการ บริษัท สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ เสี่ยเจียง กล่าวว่า บริษัทจะปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจใหม่จากนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของหนังแต่ละเรื่อง โดยจะลดต้นทุนการผลิตหนังแต่ละเรื่องเหลือ 10-20 ล้านบาทต่อเรื่อง จากเดิมลงทุน 20-30 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ยังคงใช้งบเฉลี่ย 70-100 ล้านบาทเท่าเดิม เพราะมั่นใจว่ายังขายได้ และสร้างเฉลี่ย 3-4 เรื่องต่อปี
รวมทั้งการบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น เพื่อชดเชยรายได้ในประเทศที่ลดลง อันเนื่องมาจากปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์และภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี โดยหนังฟอร์มใหญ่ที่ทำตลาดต่างประเทศเช่น ตำนานสมเด็จพระนเรศวร หนังของ จา-พนม ตะเบงมาร องค์บาก 4 และยังมีการลงทุนร่วมกับทางบริษัท เวิร์คพ้อยท์ เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด (มหาชน) ในการทำหนังอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์ด้วย
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังลงทุนอีก 10 ล้านบาท เพื่อซื้อกล้องถ่ายทำหนังระบบดิจิตอล ซึ่งเดิมใช้วิธีการเช่ากล้องมาถ่ายทำ ซึ่งมีต้นทุนประมาณ 3 ล้านบาทต่อครั้ง แต่เมื่อซื้อใหม่แล้วต้นทุนลดเหลือ 7 แสนบาท และบริษัทยังมีปริมาณหนังที่ต้องถ่ายทำต่อปีมากอยู่แล้ว
สำหรับในครึ่งปีหลังนี้ บริษัทจะมีหนังเข้าฉายโรงหนังทุกเดือน ฟอร์มเล็กบ้าง หรือใหญ่บ้างสลับกันไปทั้งยังสร้างเองและหนังนำเข้า เช่น องค์บาก4 แวมไพร์ ทไวไลท์
ภาวะเศรษฐกิจตอนนี้ไม่ดี ทำให้ยอดขายของเราแต่ละเรื่องได้รับผลกระทบมาก รายได้เราลดลงกว่า 10% แล้วจากหนังที่เข้าฉายไปแล้วประมาณ 8 เรื่อง ขณะที่ทั้งปีตั้งเป้าหมายจะมีหนังเข้าฉายประมาณ 15-18 เรื่อง เช่น เรื่อง จี้ จ้า ดื้อ สวย ดุ ซึ่งเดิมทีวางเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 70 ล้านบาท แต่คาดว่า จะทำได้เพียง 40 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าหนังเรื่องช็อคโกแลต ด้วยซ้ำไป ซึ่งจากนี้ต้องพึ่งพารายได้จากการฉายในต่างประเทศแล้ว
โดยช่วงครึ่งปีแรกนี้ บริษัทมีรายได้จากต่างประเทศประมาณ 175 ล้านบาท จากการที่นำหนังของบริษัทฯออกไปขายในตลาดต่างประเทศ และมั่นใจว่าช่วงเวลาที่เหลือจากนี้ถึงสิ้นปี จะสามารถขายหนังได้อีกหลายเรื่อง รวมแล้วจะมีรายได้ส่วนนี้ประมาณ 350 ล้านบาท
ทั้งนี้ นายสมศักดิ์ ยังได้กล่าวให้ความเห็นถึงกรณีที่กระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศใช้เรตติ้งภาพยนตร์แล้วอย่างเป็นทางการว่า ยงไม่สามารถตอบได้ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร ต้องรอดูอีกสักพัก หากไม่ดีก็คงต้องแก้ไขกันไป ส่วนกรณีที่หนังเรื่องบุปผาราตรี3.2 ถูกจัดอยู่ในเรตติ้งที่เหมาะสมกับเด็กที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป คิดว่ามไม่น่าจะมีปัญหา และเรื่องนี้ควรให้ทางสมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งประเทศไทยช่วยดูแลด้วย