“โคโคโร่” ปั้น 2 แบรนด์ร้านกาแฟ “ดิเอสเพรสโซ่บาร์-หอมละมุน” สู่ระบบแฟรนไชส์ ปูพรมตลาดกลางและล่าง ขณะที่ร้านโคโคโร่ ขอลุยเปิดเอง ยอมรับธุรกิจร้านกาแฟแข่งขันแรงแต่ยังมีอนาคต
นายนิรันดร์ ทับทิมคุณา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โคโคโร่ เบฟเวอร์เรจ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจกาแฟครบวงจร เปิดเผยว่า จากนี้ไปบริษัทฯวางแผนที่จะขยายธุรกิจร้านกาแฟในรูปแบบแฟรนไชส์ สำหรับ 2 แบรนด์ใหม่ร้านกาแฟที่เพิ่งสร้างแบรนด์ไม่นานนี้เพื่อขยายสู่ตลาดระดับกลางและแมสคือ 1.หอมละมุน เปิดตัวมาปีเศษแล้ว และ 2.ดิเอสเพรสโซ่บาร์ เปิดตัวเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา
โดยแบรนด์หอมละมุน เป็นแบบเคานเตอร์ ลงทุน 38,500 บาท ราคากาแฟเฉลี่ย 25-30 บาทต่อแก้ว จับตลาดระดับล่าง ขณะนี้มีมากกว่า 30 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ตั้งเป้าหมายสิ้นปีนี้จะมีเพิ่มอีก 10 สาขา
ส่วนแบรนด์ดิเอสเพรสโซ่บาร์ ลงทุน 75,000 – 100,000 บาท เป็นรุปแบบคีออส ราคากาแฟเฉลี่ย 40-45 บาทต่อแก้ว จับตลาดระดับกลาง ขณะนี้เปิดบริการแล้ว 2 สาขา คาดสิ้นปีนี้จะมีเพิ่มอีก 5 สาขา และตั้งเป้าสิ้นปีนี้มีประมาณ 30 สาขา โดยที่ทั้งสองแบรนด์นี้บริษัทฯยังไม่เก็บค่าแฟรนไชส์และค่าธรรมเนียมต่างๆ คาดว่าปลายปีหน้าจะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมได้
สำหรับแบรนด์โคโคโร่ เป็นแบรนด์ที่เจาะตลาดระดับบน ลงทุน 1.5 ล้านบาท เป็นร้านค้า พื้นที่ 30-50 ตารางเมตร กาแฟราคาเฉลี่ย 65-75 บาทต่อแก้ว บริษัทฯลงทุนเองมี 3 สาขาแล้วคือที่ เซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์ เซ็นทรัลชลบุรี และเทสโก้โลตัสรัตนาธิเบศร์ ซึ่งแบรนด์นี้บริษัทฯจะเน้นเปิดสาขาเอง
นอกจากธุรกิจร้านค้าปลีกร้านกาแฟทั้งสามแบรนด์แล้ว บริษัทฯยังมีธุรกิจอื่น ที่เป็นธุกริจหลักอีกคือ การเป็นซัปพลายเออร์ด้านเมล็ดกาแฟ การเป็นที่ปรึกษาและออกแบบร้านกาแฟ การเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องชงเกี่ยวกับกาแฟ ด้วยแบบครบวงจร ซึ่งธุรกิจดังกล่าวยังไปได้ดี จึงเป็นเหตุให้บริษัทฯหันมารุกตลาดร้านค้าปลีกกาแฟเพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ธุรกิจร้านกาแฟเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันรุนแรง เพราะมีผู้ประกอบการเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจจะส่งผลให้ผู้ประกอบการบางรายที่สายป่านสั้นและอยู่ในทำเลไม่ดี รวมทั้งการจัดการที่ไม่ดีต้องล้มหายตายจากไป ซึ่งในส่วนที่บริษัทฯซัปพลายเมล็ดกาแฟให้กับลูกค้ากว่า 300 ร้านนั้น ก็มีที่ต้องปิดร้านไปบ้างเฉลี่ย 10% ต่อปีเช่นกัน
“แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งแล้ว ธุรกิจก็ย่อมต้องมีการแข่งขัน มีทั้งผู้ที่อยู่ได้กับไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการปรับตัวและความพร้อม ซึ่งผมมองว่าธุรกิจร้านกาแฟยังไปได้อีกไกล เพราะปัจจุบันนี้พฤติกรรมการดื่มกาแฟของคนไทยเปลี่ยนไป ดื่มมากขึ้นต่อคนต่อปี การมีรูปแบบร้านใหม่ๆให้เลือก ซึ่งยังเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับธุรกิจนี้ เพราะลงทุนไม่ค่อยสูงมาก การดูแลก็ไม่ยุ่งยาก ถ้าหากได้บริษัทฯที่เป็นมืออาชีพจัดการให้”
นายนิรันดร์ กล่าวว่า จากการรุกตลาดในส่วนของธุรกิจร้านค้าปลีกกาแฟเพิ่มมากขึ้นนั้น คาดว่าจะทำให้บริษัทฯมีอัตราการเติบโตโดยรวมเกือบเท่าตัว ซึ่งคาดว่าปีนี้จะสามารถซัปพลายเมล็ดกาแฟได้ประมาณ 1 ตันต่อเดือน เพิ่มจากปีที่แล้วที่ทำได้ประมาณ 500 กิโลกรัมต่อเดือน และตั้งเป้าหมายปีหน้าอยู่ที่ 1 ตันครึ่งต่อเดือน โดยปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวม 10 ล้านบาท จากปีทีแล้วที่มีประมาณ 5 ล้านบาท ซึ่งแบ่งสัดส่วนรายได้เป็น เมล็ดกาแฟสัดส่วน 40% จำหน่ายเครื่องชงและอุปกรณ์ 40% ร้านกาแฟ 10% และอื่นๆ 10%
นายนิรันดร์ ทับทิมคุณา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โคโคโร่ เบฟเวอร์เรจ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจกาแฟครบวงจร เปิดเผยว่า จากนี้ไปบริษัทฯวางแผนที่จะขยายธุรกิจร้านกาแฟในรูปแบบแฟรนไชส์ สำหรับ 2 แบรนด์ใหม่ร้านกาแฟที่เพิ่งสร้างแบรนด์ไม่นานนี้เพื่อขยายสู่ตลาดระดับกลางและแมสคือ 1.หอมละมุน เปิดตัวมาปีเศษแล้ว และ 2.ดิเอสเพรสโซ่บาร์ เปิดตัวเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา
โดยแบรนด์หอมละมุน เป็นแบบเคานเตอร์ ลงทุน 38,500 บาท ราคากาแฟเฉลี่ย 25-30 บาทต่อแก้ว จับตลาดระดับล่าง ขณะนี้มีมากกว่า 30 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ตั้งเป้าหมายสิ้นปีนี้จะมีเพิ่มอีก 10 สาขา
ส่วนแบรนด์ดิเอสเพรสโซ่บาร์ ลงทุน 75,000 – 100,000 บาท เป็นรุปแบบคีออส ราคากาแฟเฉลี่ย 40-45 บาทต่อแก้ว จับตลาดระดับกลาง ขณะนี้เปิดบริการแล้ว 2 สาขา คาดสิ้นปีนี้จะมีเพิ่มอีก 5 สาขา และตั้งเป้าสิ้นปีนี้มีประมาณ 30 สาขา โดยที่ทั้งสองแบรนด์นี้บริษัทฯยังไม่เก็บค่าแฟรนไชส์และค่าธรรมเนียมต่างๆ คาดว่าปลายปีหน้าจะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมได้
สำหรับแบรนด์โคโคโร่ เป็นแบรนด์ที่เจาะตลาดระดับบน ลงทุน 1.5 ล้านบาท เป็นร้านค้า พื้นที่ 30-50 ตารางเมตร กาแฟราคาเฉลี่ย 65-75 บาทต่อแก้ว บริษัทฯลงทุนเองมี 3 สาขาแล้วคือที่ เซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์ เซ็นทรัลชลบุรี และเทสโก้โลตัสรัตนาธิเบศร์ ซึ่งแบรนด์นี้บริษัทฯจะเน้นเปิดสาขาเอง
นอกจากธุรกิจร้านค้าปลีกร้านกาแฟทั้งสามแบรนด์แล้ว บริษัทฯยังมีธุรกิจอื่น ที่เป็นธุกริจหลักอีกคือ การเป็นซัปพลายเออร์ด้านเมล็ดกาแฟ การเป็นที่ปรึกษาและออกแบบร้านกาแฟ การเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องชงเกี่ยวกับกาแฟ ด้วยแบบครบวงจร ซึ่งธุรกิจดังกล่าวยังไปได้ดี จึงเป็นเหตุให้บริษัทฯหันมารุกตลาดร้านค้าปลีกกาแฟเพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ธุรกิจร้านกาแฟเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันรุนแรง เพราะมีผู้ประกอบการเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจจะส่งผลให้ผู้ประกอบการบางรายที่สายป่านสั้นและอยู่ในทำเลไม่ดี รวมทั้งการจัดการที่ไม่ดีต้องล้มหายตายจากไป ซึ่งในส่วนที่บริษัทฯซัปพลายเมล็ดกาแฟให้กับลูกค้ากว่า 300 ร้านนั้น ก็มีที่ต้องปิดร้านไปบ้างเฉลี่ย 10% ต่อปีเช่นกัน
“แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งแล้ว ธุรกิจก็ย่อมต้องมีการแข่งขัน มีทั้งผู้ที่อยู่ได้กับไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการปรับตัวและความพร้อม ซึ่งผมมองว่าธุรกิจร้านกาแฟยังไปได้อีกไกล เพราะปัจจุบันนี้พฤติกรรมการดื่มกาแฟของคนไทยเปลี่ยนไป ดื่มมากขึ้นต่อคนต่อปี การมีรูปแบบร้านใหม่ๆให้เลือก ซึ่งยังเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับธุรกิจนี้ เพราะลงทุนไม่ค่อยสูงมาก การดูแลก็ไม่ยุ่งยาก ถ้าหากได้บริษัทฯที่เป็นมืออาชีพจัดการให้”
นายนิรันดร์ กล่าวว่า จากการรุกตลาดในส่วนของธุรกิจร้านค้าปลีกกาแฟเพิ่มมากขึ้นนั้น คาดว่าจะทำให้บริษัทฯมีอัตราการเติบโตโดยรวมเกือบเท่าตัว ซึ่งคาดว่าปีนี้จะสามารถซัปพลายเมล็ดกาแฟได้ประมาณ 1 ตันต่อเดือน เพิ่มจากปีที่แล้วที่ทำได้ประมาณ 500 กิโลกรัมต่อเดือน และตั้งเป้าหมายปีหน้าอยู่ที่ 1 ตันครึ่งต่อเดือน โดยปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวม 10 ล้านบาท จากปีทีแล้วที่มีประมาณ 5 ล้านบาท ซึ่งแบ่งสัดส่วนรายได้เป็น เมล็ดกาแฟสัดส่วน 40% จำหน่ายเครื่องชงและอุปกรณ์ 40% ร้านกาแฟ 10% และอื่นๆ 10%