“เจ๊วา” หวั่นต้นทุนพุ่ง วัสดุก่อสร้างโหนกระแสไทยเข้มแข็งขึ้นราคา

“เจ๊วา” ควงแขน “ยรรยง” ลุยตรวจเข้มราคาวัสดุก่อสร้าง ดักทางผู้ค้าโหนกระโครงการไทยเข้มแข็ง แอบขึ้นราคา กระทบต้นทุนก่อสร้าง ผลสำรวจพบ “เหล็ก-ปูน” ราคายังไม่ผิดปรกติ แต่หากดีเซลขยับขึ้นอีก 5 บาท ก็จะพิจารณาให้ปรับขึ้นได้

นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวหลังนำคณะออกสำรวจตรวจสอบสถานการณ์ราคาวัสดุก่อสร้าง บริเวณถนนราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ หลังจากงบไทยเข้มแข็ง 200,000 ล้านบาท ที่ออกสู่ระบบ เพื่อนำไปพัฒนาการก่อสร้างโครงการพื้นฐานต่างๆ ทั่วประเทศ จะทำให้ธุรกิจก่อสร้างคึกคักและมีความต้องการวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้น โดยเกรงว่า อาจทำให้มีการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาตามภาวะความต้องการที่สูงขึ้น

โดยผลการสำรวจพบว่า แม้ราคาต้นทุนเหล็กเริ่มปรับขึ้นบ้าง แต่ยังไม่สูงมากนัก และอยู่ในเพดานราคาแนะนำ แต่หากผู้ประกอบการจำเป็นต้องขอขึ้นราคาเพราะน้ำมันแพง ก็จะพิจารณาตามต้นทุนข้อเท็จจริง ขณะที่ปูนซีเมนต์จะพิจารณาตามภาวะต้นทุนของถ่านหินเป็นสำคัญ แต่คาดว่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงราคาจนถึงสิ้นปี

“เท่าที่ตรวจสอบขณะนี้ราคาวัสดุก่อสร้าง เช่น เหล็กและปูน ยังเป็นปกติ โดยเหล็กเส้นกลมขนาด 9 มิลลิเมตร ราคาขายปลีก ณ วันที่ 2 กันยายน เส้นละ 109.78 บาท สูงขึ้นจากปลายเดือนสิงหาคม ที่ราคา 107.25 บาท ขณะที่เมื่อคิดเป็นตัน จะอยู่ที่ 22,000 บาท สูงขึ้นจาก 21,500 บาท”

ขณะที่ปูนซีเมนต์ ขนาดถุง 50 กก.ปูนตราเสือราคาถุงละ 135-142 บาท ปูนปอร์ตแลนด์ 145-156 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาเพดาน และยังได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน (คน.) ติดตามราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด รวมทั้งกำชับให้ คน.ติดตามดูแลราคาวัสดุก่อสร้างอย่างใกล้ชิด เชื่อว่า จนถึงสิ้นปีนี้ ราคาปูนจะไม่สูงขึ้น แต่หากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้น จนทำให้ผู้ประกอบการแบกรับภาระไม่ได้ ก็จะพิจารณาความเหมาะสมเป็นระยะและจะติดตามดูแลราคาสินค้าทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน

นายยรรยง พวงราช อธิบดี คน.กล่าวว่า การพิจารณาปรับราคาเหล็กหรือไม่นั้น กรมจะดูที่ราคาน้ำมันดีเซลในประเทศเป็นหลัก เพราะถือเป็นต้นทุนสำคัญในการขนส่ง แต่หากน้ำมันดีเซลปรับขึ้นจากปัจจุบันอีกลิตรละ 5 บาท อาจมีการพิจารณาให้ขึ้นราคาได้ เพราะเป็นระดับที่มีผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่งสินค้าจริง โดยจะพยายามควบคุมราคาให้นานที่สุด หรืออย่างน้อยจนถึงสิ้นปี