ดังกิ้นโดนัท โอดครึ่งปีแรกยอดขายโตต่ำเป้าหมาย โตแค่ 2% เหตุเศรษฐกิจยังไม่ดี ต่างชาติหาย การเมืองยุ่ง ยันเดินหน้าลงทุนต่อ ผุดเพิ่มอีก 20 สาขา พร้อมรบตลาดกาแฟปลายปีนี้แน่นอน หลังประเดิมที่ดังกิ้นโดนัทสุวรรณภูมิแล้ว ชูจุดขายรสชาติพรีเมียมแต่ราคาถูกกว่าคู่แข่ง 25%
นายนาดิม ซาเวียร์ ซาลฮานี่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเด้น โดนัท (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านดังกิ้นโดนัทในไทย กล่าวว่า จากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีที่ผ่านมมาส่งผลกระทบต่อยอดขายครึ่งปีแรกของบริษัทฯมีการเติบโตแค่ 2% เท่านyhน ซึjงต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งการเติบโตไว้ที่ 5-6% แต่ก็ยังมีความมั่นใจว่า ภายในไตรมาสสุดท้ายปีนี้สถานการณ์ต่างๆ น่าจะดีขึ้นและส่งผลดีต่อการทำธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีแผนการลงทุนต่อเนื่อง ทั้งการลงทุนเปิดร้านดังกินใหม่อีก 20 สาขา มากกว่าเดิมทีขยายเพียง 10 สาขาต่อปีเท่านั้น โดยโมเดลร้านเต็มรูปแบบลงทุน 2-3 ล้านบาท ส่วนแบบคีออสลงทุน 1 ล้านบาท รวมทั้งการพัฒนาสินค้าใหม่ๆวางตลาดต่อเนื่องขณะที่แผนการขยายธุรกิจดังกิ้นคอฟฟี่นั้น ยังเดินหน้าต่อ คาดว่าภายในเดือนพฤศจิกายนหรืออย่างช้าปลายปีนี้จะสามารถเปิดให้บริการดังกิ้นคอฟฟี่ได้แน่นอน
ทั้งนี้ ปีนี้จะลงทุนรวม 60 ล้านบาท เพื่อเปิดสาขาใหม่และปรับปรุงสาขาเดิมรวมทั้งการเปิดบริการดังกิ้นคอฟฟี่ด้วย ซึ่งปัจจุบันดังกิ้นโดนัทมีส่วนแบ่งตลาด 40% จากตลาดรวมโดนัท 2,000 ล้านบาท ซึ่งการที่มีดังกิ้นคอฟฟี่เพิ่มขึ้นมาก็จะช่วยทำให้มีส่วนแบ่งตลาดและรายได้เพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนั้นก็ยังมีแบรนด์โอบองแปงที่อยู่ในความดูแลอีกด้วยที่จะต้องปรับการทำตลาดมากขึ้น เพราะกลุ่มเป้าหมาชาวต่างชาติลดลงไปมากทำยอดขายลดลงด้วย
สำหรับแผนการรุกของดังกิ้นคอฟฟี่นั้น อยู่ระหว่างการทดลองเปิดสาขาแรกที่ดังกิ้นโดนัทสาขาสุวรรณภูมิ และการทดลองเครื่องชงกาแฟที่นำเข้ามาจากอิตาลี เครื่องละ 3 แสนบาท ตามที่บริษัทแม่กำหนดมา โดยวัตถุดิบเมล็ดกาแฟจะนำเข้ามาจากเกาหลี ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนกันระหว่างบริษัทแม่ของดังกิ้นกับแฟรนไชส์ที่เกาหลีตั้งโรงงานผลิตเมล็ดกาแฟขึ้นมาเพื่อทำการส่งออกให้กับเครือข่ายดังกิ้นโดนัทในเกาหลีที่มีมากกว่า 400 สาขาและในเอเชีย ซึ่งจะช่วยทำให้ต้นทุนต่ำลง
โดยบริษัทมีแผนที่จะเปิดขายกาแฟดังกิ้นคอฟฟี่ทั้งสองช่องทางที่เป็นร้านเต็มรูปแบบกับจุดขายคีออส ทั้งหมด 170 สาขา ซึ่งขณะนี้บริษัทได้ทำการปรับปรุงพื้นที่ร้านดังกิ้นไปแล้วกว่า 10% โดยมีที่นั่งดื่มกาแฟในร้านด้วย จุดขายหลัก คือ เป็นกาแฟพรีเมียมที่มีรสชาติใกล้เคียงกับแบรนด์พรีเมียมในไทย แต่ราคาถูกกว่าผู้ประกอบการพรีเมียมในตลาด 25% ด้วยราคาขาย 45 บาท 50 บาท และ 55 บาท
นายซาเวียร์ กล่าวว่า ปัจจุบันดังกิ้นโดนัทในไทยมียอดขายเครื่องดื่มทุกอย่างรวมกัน 20% และเป็นโดนัท 80% ซึ่งยังเป็นรายได้หลักอยู่ อย่างไรก็ตาม เมื่อนำกาแฟเข้ามาขายด้วยนั้น บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนเครื่องดื่มเพิ่มเป็น 35% ในช่วงปีแรก และโดนัทจะเหลือสัดส่วนรายได้ประมาณ 65% และในปีถัดไปคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากเครื่องดื่มเป็น 40% และโดนัท 60% เนื่องจากว่าในต่างประเทศ เช่นที่ประเทศเกาหลี หลังจากที่ได้เปิดจำหน่ายกาแฟด้วยนั้น ส่งผลให้ยอดขายรวมเติบโตมากขึ้นกว่า 40% เช่นเดียวกับในอเมริกา ซึ่งทำให้มั่นใจว่า เมื่อดังกิ้นโดนัทไนไทยเปิดขายกาแฟแล้วก็ย่อมที่จะส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
นายนาดิม ซาเวียร์ ซาลฮานี่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเด้น โดนัท (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านดังกิ้นโดนัทในไทย กล่าวว่า จากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีที่ผ่านมมาส่งผลกระทบต่อยอดขายครึ่งปีแรกของบริษัทฯมีการเติบโตแค่ 2% เท่านyhน ซึjงต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งการเติบโตไว้ที่ 5-6% แต่ก็ยังมีความมั่นใจว่า ภายในไตรมาสสุดท้ายปีนี้สถานการณ์ต่างๆ น่าจะดีขึ้นและส่งผลดีต่อการทำธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีแผนการลงทุนต่อเนื่อง ทั้งการลงทุนเปิดร้านดังกินใหม่อีก 20 สาขา มากกว่าเดิมทีขยายเพียง 10 สาขาต่อปีเท่านั้น โดยโมเดลร้านเต็มรูปแบบลงทุน 2-3 ล้านบาท ส่วนแบบคีออสลงทุน 1 ล้านบาท รวมทั้งการพัฒนาสินค้าใหม่ๆวางตลาดต่อเนื่องขณะที่แผนการขยายธุรกิจดังกิ้นคอฟฟี่นั้น ยังเดินหน้าต่อ คาดว่าภายในเดือนพฤศจิกายนหรืออย่างช้าปลายปีนี้จะสามารถเปิดให้บริการดังกิ้นคอฟฟี่ได้แน่นอน
ทั้งนี้ ปีนี้จะลงทุนรวม 60 ล้านบาท เพื่อเปิดสาขาใหม่และปรับปรุงสาขาเดิมรวมทั้งการเปิดบริการดังกิ้นคอฟฟี่ด้วย ซึ่งปัจจุบันดังกิ้นโดนัทมีส่วนแบ่งตลาด 40% จากตลาดรวมโดนัท 2,000 ล้านบาท ซึ่งการที่มีดังกิ้นคอฟฟี่เพิ่มขึ้นมาก็จะช่วยทำให้มีส่วนแบ่งตลาดและรายได้เพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนั้นก็ยังมีแบรนด์โอบองแปงที่อยู่ในความดูแลอีกด้วยที่จะต้องปรับการทำตลาดมากขึ้น เพราะกลุ่มเป้าหมาชาวต่างชาติลดลงไปมากทำยอดขายลดลงด้วย
สำหรับแผนการรุกของดังกิ้นคอฟฟี่นั้น อยู่ระหว่างการทดลองเปิดสาขาแรกที่ดังกิ้นโดนัทสาขาสุวรรณภูมิ และการทดลองเครื่องชงกาแฟที่นำเข้ามาจากอิตาลี เครื่องละ 3 แสนบาท ตามที่บริษัทแม่กำหนดมา โดยวัตถุดิบเมล็ดกาแฟจะนำเข้ามาจากเกาหลี ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนกันระหว่างบริษัทแม่ของดังกิ้นกับแฟรนไชส์ที่เกาหลีตั้งโรงงานผลิตเมล็ดกาแฟขึ้นมาเพื่อทำการส่งออกให้กับเครือข่ายดังกิ้นโดนัทในเกาหลีที่มีมากกว่า 400 สาขาและในเอเชีย ซึ่งจะช่วยทำให้ต้นทุนต่ำลง
โดยบริษัทมีแผนที่จะเปิดขายกาแฟดังกิ้นคอฟฟี่ทั้งสองช่องทางที่เป็นร้านเต็มรูปแบบกับจุดขายคีออส ทั้งหมด 170 สาขา ซึ่งขณะนี้บริษัทได้ทำการปรับปรุงพื้นที่ร้านดังกิ้นไปแล้วกว่า 10% โดยมีที่นั่งดื่มกาแฟในร้านด้วย จุดขายหลัก คือ เป็นกาแฟพรีเมียมที่มีรสชาติใกล้เคียงกับแบรนด์พรีเมียมในไทย แต่ราคาถูกกว่าผู้ประกอบการพรีเมียมในตลาด 25% ด้วยราคาขาย 45 บาท 50 บาท และ 55 บาท
นายซาเวียร์ กล่าวว่า ปัจจุบันดังกิ้นโดนัทในไทยมียอดขายเครื่องดื่มทุกอย่างรวมกัน 20% และเป็นโดนัท 80% ซึ่งยังเป็นรายได้หลักอยู่ อย่างไรก็ตาม เมื่อนำกาแฟเข้ามาขายด้วยนั้น บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนเครื่องดื่มเพิ่มเป็น 35% ในช่วงปีแรก และโดนัทจะเหลือสัดส่วนรายได้ประมาณ 65% และในปีถัดไปคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากเครื่องดื่มเป็น 40% และโดนัท 60% เนื่องจากว่าในต่างประเทศ เช่นที่ประเทศเกาหลี หลังจากที่ได้เปิดจำหน่ายกาแฟด้วยนั้น ส่งผลให้ยอดขายรวมเติบโตมากขึ้นกว่า 40% เช่นเดียวกับในอเมริกา ซึ่งทำให้มั่นใจว่า เมื่อดังกิ้นโดนัทไนไทยเปิดขายกาแฟแล้วก็ย่อมที่จะส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน