นายใหม่ “อาดิดาส” ประเทศไทย ร้อนวิชา เปิดเกมรุก ลุยเปิดชอป เน้นรูปแบบแฟรนไชส์เป็นหลัก หวังรักษาแชมป์ พร้อมดันรายได้เติบโต 2 หลัก
นายวีเจย์ เชาฮาน ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อาดิดาส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีนโยบายที่จะขยายชอปในรูปแบบแฟรนไชส์มากขึ้น ควบคู่ไปกับการลงทุนเอง เพื่อผลักดันให้ผลประกอบการของปีนี้มีอัตราเติบโตเป็นเลข 2 หลัก และรักษาความเป็นผู้นำในตลาดเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาในเมืองไทย ทั้งนี้ วางเป้าหมายว่าจะเปิดชอปแบบแฟรนไชส์ประมาณ 10-15 สาขาต่อปี ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดที่เป็นหัวเมืองใหญ่จังหวัดท่องเที่ยง แม้ว่าปัจจุบันอาดิดาสจะเป็นผู้นำตลาดในช่องทางรีเทลแล้วก็ตาม แต่ก็จะต้องเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้มากขึ้นตลอดเวลา ซึ่งการขยายชอปแบบแฟรนไชส์ก็เป็นสิ่งที่จะช่วยผลักดันตรงนี้ ซึ่งมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้ประเมินว่า ตลาดเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาจะมีทิศทางเช่นเดียวกับครึ่งปีแรกก็ตาม
“นโยบายของบริษัท คือ ต้องการขยายชอปในรูปแบบแฟรนไชส์มากขึ้น แม้ว่าปัจจุบันอาดิดาสจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดผ่านช่องทางรีเทลเป็นผู้นำตลาดอยู่แล้วก็ตาม แต่เราก็ต้องการเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ให้มากขึ้น แม้ว่าแนวโน้มธุรกิจเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาในช่วงครึ่งปีหลังจะมีทิศทางไม่ต่างจากครึ่งปีแรกมากนัก” นายเชาฮาน กล่าว
ขณะที่ปีนี้มีแผนจะเปิดสาขาของบริษัทเอง ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว คือ ประมาณ 7-8 สาขา พื้นที่เฉลี่ย 80-100 ตารางเมตร ลงทุนเฉลี่ย 5-6 ล้านบาทต่อสาขา ปัจจุบันอาดิดาสมีชอปทั้งหมดรวมของบริษัทกับแฟรนไชส์ประมาณ 38 สาขา แบ่งเป็นของบริษัทฯ 14 สาขา และของแฟรนไชส์ 24 สาขา
ล่าสุด เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา อาดิดาสได้เปิดตัวรูปแบบใหม่คือ อาดิดาสซิลเวอร์ เลเบล ชอป (SLVR) โดยเปิดสาขาแรกที่ สยามเซ็นเตอร์ และเป็นครั้งแรกที่เปิดในเอเชียด้วยที่มีรูปแบบนี้ โดยเป็นร้านที่มีการผสมผสานระหว่างสปอร์ตแวร์แบบอาดิดาส ออริจินอล และความเรียบหรูแบบ Y-3 (เสื้อผ้าและรองเท้าแฟชั่นจับกลุ่มไฮเอนด์)
สำหรับในช่วงครึ่งปีแรก 2552 ได้รับผลกระทบบ้างจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยลง แต่ก็ไม่รุนแรงเท่ากับภาคการท่องเที่ยว ส่วนในครึ่งปีหลังนี้ บริษัทฯมีแผนที่จะทำตลาดต่อเนื่องเช่นกัน โดยใช้งบประมาณจัดกิจกรรมในสินค้า 3 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มรองเท้าเพื่อต้อนรับการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010, สินค้ากลุ่มรองเท้าวิ่ง และสินค้ากลุ่มแบรนด์ออริจินัล
สำหรับ นายวีเจย์ เชาฮาน เพิ่งจะเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อาดิดาส (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อต้นปี 2552 นี้
นายวีเจย์ เชาฮาน ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อาดิดาส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีนโยบายที่จะขยายชอปในรูปแบบแฟรนไชส์มากขึ้น ควบคู่ไปกับการลงทุนเอง เพื่อผลักดันให้ผลประกอบการของปีนี้มีอัตราเติบโตเป็นเลข 2 หลัก และรักษาความเป็นผู้นำในตลาดเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาในเมืองไทย ทั้งนี้ วางเป้าหมายว่าจะเปิดชอปแบบแฟรนไชส์ประมาณ 10-15 สาขาต่อปี ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดที่เป็นหัวเมืองใหญ่จังหวัดท่องเที่ยง แม้ว่าปัจจุบันอาดิดาสจะเป็นผู้นำตลาดในช่องทางรีเทลแล้วก็ตาม แต่ก็จะต้องเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้มากขึ้นตลอดเวลา ซึ่งการขยายชอปแบบแฟรนไชส์ก็เป็นสิ่งที่จะช่วยผลักดันตรงนี้ ซึ่งมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้ประเมินว่า ตลาดเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาจะมีทิศทางเช่นเดียวกับครึ่งปีแรกก็ตาม
“นโยบายของบริษัท คือ ต้องการขยายชอปในรูปแบบแฟรนไชส์มากขึ้น แม้ว่าปัจจุบันอาดิดาสจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดผ่านช่องทางรีเทลเป็นผู้นำตลาดอยู่แล้วก็ตาม แต่เราก็ต้องการเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ให้มากขึ้น แม้ว่าแนวโน้มธุรกิจเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาในช่วงครึ่งปีหลังจะมีทิศทางไม่ต่างจากครึ่งปีแรกมากนัก” นายเชาฮาน กล่าว
ขณะที่ปีนี้มีแผนจะเปิดสาขาของบริษัทเอง ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว คือ ประมาณ 7-8 สาขา พื้นที่เฉลี่ย 80-100 ตารางเมตร ลงทุนเฉลี่ย 5-6 ล้านบาทต่อสาขา ปัจจุบันอาดิดาสมีชอปทั้งหมดรวมของบริษัทกับแฟรนไชส์ประมาณ 38 สาขา แบ่งเป็นของบริษัทฯ 14 สาขา และของแฟรนไชส์ 24 สาขา
ล่าสุด เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา อาดิดาสได้เปิดตัวรูปแบบใหม่คือ อาดิดาสซิลเวอร์ เลเบล ชอป (SLVR) โดยเปิดสาขาแรกที่ สยามเซ็นเตอร์ และเป็นครั้งแรกที่เปิดในเอเชียด้วยที่มีรูปแบบนี้ โดยเป็นร้านที่มีการผสมผสานระหว่างสปอร์ตแวร์แบบอาดิดาส ออริจินอล และความเรียบหรูแบบ Y-3 (เสื้อผ้าและรองเท้าแฟชั่นจับกลุ่มไฮเอนด์)
สำหรับในช่วงครึ่งปีแรก 2552 ได้รับผลกระทบบ้างจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยลง แต่ก็ไม่รุนแรงเท่ากับภาคการท่องเที่ยว ส่วนในครึ่งปีหลังนี้ บริษัทฯมีแผนที่จะทำตลาดต่อเนื่องเช่นกัน โดยใช้งบประมาณจัดกิจกรรมในสินค้า 3 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มรองเท้าเพื่อต้อนรับการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010, สินค้ากลุ่มรองเท้าวิ่ง และสินค้ากลุ่มแบรนด์ออริจินัล
สำหรับ นายวีเจย์ เชาฮาน เพิ่งจะเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อาดิดาส (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อต้นปี 2552 นี้
