รมว.พลังงาน แบ่งรับแบ่งสู้ ตรึงราคาก๊าซ “แอลพีจี” โยนที่ประชุม กพช.ชี้ขาด แนะหากตรึงราคา ควรช่วยในภาคครัวเรือนไปก่อน ขณะที่ราคาในตลาดโลกขยับขึ้น 50 ดอลลาร์/ตัน ตามทิศทางราคาน้ำมัน
นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวในการปาฐกถาเรื่อง “นโยบายความมั่นคงทางด้านพลังงาน” ที่จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ วันนี้ โดยระบุว่า แหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศจะมีสำรองประมาณ 30 ปีข้างหน้า ขณะที่ปัจจุบัน ประเทศไทยมีการใช้ก๊าซ เพื่อผลิตไฟฟ้ามีสัดส่วนถึงร้อยละ 30 จึงต้องหาสำรองพลังงานของประเทศให้เพิ่มขึ้น ทั้งพลังงานฟอสซิล และพลังงานทดแทน โดยเฉพาะถ่านหินและนิวเคลียร์
อย่างไรก็ตาม การใช้พลังงานนิวเคลียร์ คงต้องสร้างความยอมรับจากประชาชนเสียก่อน ซึ่งกรณีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของไทย หากจะเกิดได้จริง อย่างเร็วก็คงจะเริ่มได้ใน 10 ปีข้างหน้า
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวด้วยว่า ในเรื่องที่กระทรวงการคลัง มีความเห็นว่า ไม่ควรตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ต่อไปนั้น ทางกระทรวงการคลัง ยังไม่ได้หารือกับกระทรวงพลังงาน และขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล ว่า จะเห็นด้วยอย่างไร โดยจะต้องนำเข้าหารือในคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน หากจะขึ้นราคาก็เห็นว่า น่าจะพิจารณาเฉพาะในส่วนของขนส่งและอุตสาหกรรมมากกว่า ส่วนราคาแอลพีจีในภาคครัวเรือนน่าจะตรึงไว้ก่อน เพราะไม่เช่นนั้นจะกระทบต่อประชาชนที่มีค่าใช้จ่ายในครัวเรือนสูงขึ้น
“ขณะนี้กระทรวงพลังงาน เตรียมจัดจ้างที่ปรึกษาขึ้นมาดูราคาแอลพีจีหน้าโรงแยกก๊าซ และโรงกลั่นน้ำมัน ให้เหมาะสม ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะเสร็จเมื่อใด”
ส่วนกรณีรถแท็กซี่ที่ต้องการเปลี่ยนเชื้อเพลิงจากแอลพีจี เป็นเอ็นจีวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปช่วยเปลี่ยนฟรีให้หรือไม่ เพราะเดิมที่กำหนดนโยบายเปลี่ยนเชื้อเพลิงฟรี โดยมีเงินสนับสนุนจากบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ว่า จะมีการแยกราคาแอลพีจี ด้วยการขึ้นราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมและขนส่ง แต่ไม่ขึ้นราคาภาคครัวเรือน
แต่ในขณะนี้ ต้องยอมรับว่า การสนับสนุนใช้ก๊าซเอ็นจีวีไม่เป็นไปตามแผนดังกล่าว จึงยังไม่ได้มีข้อตกลงว่าจะทำอย่างไร ซึ่งในขณะนี้ยอมรับว่ามีความเป็นห่วงว่าจะนำเข้าแอลพีจีเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แต่จะพยายามดูแลไม่ให้เกิดปัญหาขาดแคลน ล่าสุด ราคาแอลพีจีตลาดโลก ได้ปรับสูงขึ้น 50 ดอลลาร์ต่อตัน มาอยู่ที่ 419 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ในเดือนมิถุนายน 2552 สะท้อนตามราคาน้ำมันตลาดโลก
