ศูนย์วิจัยกสิกรฯ เผยสภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ 14 แห่ง มีจำนวนสูงถึง 2 ล้านล้านบาท สวนทางกับยอดการปล่อยกู้ สะท้อนความไม่มั่นในภาวะ ศก. ขณะที่ภาครัฐบาลยังต้องการเม็ดเงินอัดฉีดใส่ระบบ เพื่อใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานภาวะตลาดเงินในประเทศ โดยระบุว่า สินทรัพย์สภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ 14 แห่ง รวมเงินสด เงินลงทุนสุทธิในตลาดเงินระยะสั้น และเงินลงทุนสุทธิในหลักทรัพย์ ณ เดือนเมษายน 2552 มีจำนวน 2.31 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 44,700 ล้านบาท จากเดือนมีนาคม 2552 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของเงินลงทุนสุทธิในหลักทรัพย์ด้วยเงินสด ขณะที่เงินลงทุนสุทธิในตลาดเงินระยะสั้นลดลง
การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์สภาพคล่องในเดือนเมษายน 2552 เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของยอดเงินฝากประมาณ 7,960 ล้านบาทจากเดือนก่อนหน้า และสวนทางกับยอดเงินให้สินเชื่อสุทธิ (จากค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ) ที่ลดลง 10,200 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาสินทรัพย์สภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ที่ไม่นับรวมเงินลงทุนสุทธิในหลักทรัพย์ หรือมาจากผลรวมเฉพาะของเงินสดและเงินลงทุนสุทธิในตลาดเงินระยะสั้น เดือนเมษายน 2552 พบว่า มีจำนวน 1.08 ล้านล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 18,700 ล้านบาท
การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์สภาพคล่องในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ เดือนเมษายน 2552 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าจำนวน 65,500 ล้านบาท มามียอดคงค้างที่ 1.47 ล้านล้านบาท ส่วนกลุ่มธนาคารขนาดเล็กมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น 433 ล้านบาท มามียอดคงค้างที่ 299,000 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มธนาคารขนาดกลางมีสภาพคล่องลดลง 21,300 ล้านบาท มามียอดคงค้างที่ 545,000 ล้านบาท
โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-เมษายน) เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2551 สินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ไทย 14 แห่ง เพิ่มขึ้น 327,000 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์สภาพคล่องในทุกกลุ่มธนาคาร นำโดยการเพิ่มขึ้นของกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่จำนวน 276,000 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มธนาคารขนาดเล็กเพิ่มขึ้น 28,400 ล้านบาท และกลุ่มธนาคารขนาดกลางเพิ่มขึ้น 22,400 ล้านบาท
ศูนย์วิจัยกสิกรฯ ยังมองว่า สินทรัพย์สภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยที่ยังมีอยู่สูงกว่า 2 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนเมษายน 2552 น่าจะยังคงเป็นระดับที่มากพอสำหรับรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะที่เหลือของปีนี้ได้ ซึ่งรวมถึงความต้องการใช้เงินจากภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงการต่างๆ ด้วย
ทั้งนี้ คงต้องติดตามประเด็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจว่าการชะลอตัวของเครื่องชี้เศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศที่เริ่มลดระดับความรุนแรงลงจะมีความยั่งยืนเพียงใด โดยหากการฟื้นตัวเป็นไปตามความคาดหวังจริง ก็น่าที่จะเป็นทิศทางที่ส่งผลดีต่อการขยายตัวของสินเชื่อ ซึ่งก็คงจะทำให้สภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยมีแนวโน้มทยอยปรับลดลงในระยะถัดไป
ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนั้น หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25% เห็นว่า วัฏจักรขาลงของดอกเบี้ยนโยบายอาจจะสิ้นสุดลงแล้ว หากความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจไม่ได้เลวร้ายลงไปอีก ส่งผลตามมาให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินและอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ก็อาจจะเข้าใกล้ระดับที่ต่ำสุดแล้วเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยในระบบการเงินไทยน่าจะยังมีแนวโน้มทรงตัวต่ำอย่างต่อเนื่องต่อไปจนกว่าสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งแม้ว่าอาจต้องใช้เวลา แต่ถ้าสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเริ่มปรากฏชัดเจนและมีเสถียรภาพอย่างแท้จริง ก็อาจทำให้สภาพคล่องส่วนเกินมีแนวโน้มถูกระบายออกไปผ่านการขยายตัวของสินเชื่อ
ขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์สภาพคล่องที่อาจเริ่มขยับตัวสูงขึ้น อันเป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจดังกล่าว ซึ่งอาจทำให้ธนาคารพาณิชย์มีความมั่นใจมากพอที่จะกลับมาแข่งขันกันระดมเงินด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากแบบพิเศษหรือผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำระยะยาวที่อัตราดอกเบี้ยจูงใจอีก