ไอ.พี.อัดฉีด 640 ล้านบาท สยายปีกโกอินเตอร์-ลุยขยายตลาดในประเทศเต็มสูบ ชูกลยุทธ์เจาะตลาดนิชมาร์เก็ต ปั้นไฮยีน-ไอวี่ เรือธง ลั่นเดินหน้าบุกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังเป็นตลาดใหญ่พฤติกรรมคล้ายคนไทย หวังเอฟทีเอ 0% ดันสินค้าโตพรวด พร้อมเพิ่มหน่วยรถขายเงินสด ทะลวงร้านค้าปลีกรายย่อย ตั้งเป้าสิ้นปีโต 10% ตามเป้าหมาย
นายอุทัย ธเนศวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอ.พี.เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ วิกซอล ไฮยีน วิซ และเครื่องดื่มยี่ห้อไอวี่ เปิดเผยว่า นโยบายการตลาดปีนี้บริษัทดำเนินการในเชิงรุกขยายตลาดต่างประเทศ ภายหลังจากทำตลาดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีสัดส่วนรายได้ 7% จากรายได้รวม จากการมีผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาผ้าภายใต้แบรนด์ “ไฮยีน” เป็นสินค้าเรือธงในการเปิดตลาด
โดยจากนี้บริษัทมุ่งเน้นทำตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในอินโดจีนเป็นหลัก เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีการเติบโตสูง อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลกไม่มากนัก โดยบริษัทจะโฟกัสประเทศเวียดนามเป็นหลัก ซึ่งล่าสุดได้เข้าไปตั้งสำนักงานขึ้น ที่ ประเทศเวียดนาม ขณะเดียวกัน ยังปั้นเครื่องดื่มเอเชี่ยนดริงก์ไอวี่ ขยายตลาดในยุโรปและอเมริกา ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้นำเข้าไปจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกรายย่อยของผู้ประกอบการเอเชีย ทั้งนี้ตั้งเป้ารายได้จากการส่งออกปีนี้เติบโต 2 เท่าตัว หรือ 14%
“พฤติกรรมของผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมาก ความต้องการผลิตภัณฑ์ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก ดังนั้น จึงมองว่า ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นจากคนไทยน่าจะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ตลาดดังกล่าวยังมีขนาดใหญ่ มีประชากรร่วม 580 ล้านคน ซึ่งหากภาษีจากการเปิดการค้าเสรีเอฟทีเอเหลือ 0% จะยิ่งผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง”
แผนการตลาดในประเทศ บริษัทมุ่งการใช้กลยุทธ์ทำตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์นิชมาร์เก็ตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จตลอดระยะเวลา 37 ปี โดยปีนี้บริษัทดำเนินการตลาดเชิงรุก ทุ่มงบ 500 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาใช้งบ 300-400 ล้านบาท เพื่อสวนกระแสกับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย โดยแบ่งเป็นงบโฆษณษาประชาสัมพันธ์ 250 ล้านบาท เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา 4 เรื่อง โดยมุ่งเน้นสร้างการรับรู้กลุ่มเครื่องดื่มไอวี่ในเชิงรุกผ่านโฆษณา 3 เรื่อง และโฟกัสโคโลญจ์อีก 1 เรื่อง
พร้อมกันนี้ ยังลงทุนสั่งซื้อเครื่องจักรอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2551-2552 ภายใต้การใช้งบ 140 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อขยายกำลังการผลิต รองรับการเติบโตตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผ้าไฮยีน ซึ่งได้เตรียมขยายกำลังการผลิตน้ำยาปรับผ้านุ่มต่อเนื่อง หลังจากเดือนเมษายน ได้เปิดตัวสูตรเข้มข้น ปรากฏว่า ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
ด้านช่องทางจำหน่ายบริษัทได้เพิ่มหน่วยรถขายเงินสด 16 คัน จากเดิมที่มีอยู่ 51 คัน หรือราว 67 คัน เพื่อกระจายสินค้าได้ครอบคลุมร้านค้าปลีกรายย่อย ตลอดจนการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคโดยตรง อีกทั้งยังจับมือร่วมกับบริษัทคู่ค้า โดยการจัดโปรโมชันรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างรายได้และยอดขายมากขึ้น โดยมุ่งเน้นผ่านทางช่องทางร้านขายของชำ ร้านค้าสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต พร้อมกันนี้ ยังได้ทุ่มงบ 300 ล้านบาท สร้างสำนักงานขึ้นมาใหม่ บนพื้นที่ 6 ไร่ ย่านรามคำแหง ทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างบุคคลากรและพนักงานให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น รองรับการขยายธุรกิจในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและการแข่งขันที่มีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลประกอบการปีนี้บริษัท ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเติบโตมากกว่า 10% โดยในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโต 4% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะ ท่ามกลางภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ทั้งนี้รายได้ทั้งหมดแบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์ดูแลผ้าไฮยีน 40% ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นวิกซอล และวิซ 30% กลุ่มของใช้ส่วนบุคคล แดนซ์และโฟกัส โคโลญจ์ 20% และเครื่องดื่มไอวี่ 10%
นายอุทัย ธเนศวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอ.พี.เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ วิกซอล ไฮยีน วิซ และเครื่องดื่มยี่ห้อไอวี่ เปิดเผยว่า นโยบายการตลาดปีนี้บริษัทดำเนินการในเชิงรุกขยายตลาดต่างประเทศ ภายหลังจากทำตลาดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีสัดส่วนรายได้ 7% จากรายได้รวม จากการมีผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาผ้าภายใต้แบรนด์ “ไฮยีน” เป็นสินค้าเรือธงในการเปิดตลาด
โดยจากนี้บริษัทมุ่งเน้นทำตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในอินโดจีนเป็นหลัก เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีการเติบโตสูง อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลกไม่มากนัก โดยบริษัทจะโฟกัสประเทศเวียดนามเป็นหลัก ซึ่งล่าสุดได้เข้าไปตั้งสำนักงานขึ้น ที่ ประเทศเวียดนาม ขณะเดียวกัน ยังปั้นเครื่องดื่มเอเชี่ยนดริงก์ไอวี่ ขยายตลาดในยุโรปและอเมริกา ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้นำเข้าไปจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกรายย่อยของผู้ประกอบการเอเชีย ทั้งนี้ตั้งเป้ารายได้จากการส่งออกปีนี้เติบโต 2 เท่าตัว หรือ 14%
“พฤติกรรมของผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมาก ความต้องการผลิตภัณฑ์ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก ดังนั้น จึงมองว่า ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นจากคนไทยน่าจะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ตลาดดังกล่าวยังมีขนาดใหญ่ มีประชากรร่วม 580 ล้านคน ซึ่งหากภาษีจากการเปิดการค้าเสรีเอฟทีเอเหลือ 0% จะยิ่งผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง”
แผนการตลาดในประเทศ บริษัทมุ่งการใช้กลยุทธ์ทำตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์นิชมาร์เก็ตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จตลอดระยะเวลา 37 ปี โดยปีนี้บริษัทดำเนินการตลาดเชิงรุก ทุ่มงบ 500 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาใช้งบ 300-400 ล้านบาท เพื่อสวนกระแสกับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย โดยแบ่งเป็นงบโฆษณษาประชาสัมพันธ์ 250 ล้านบาท เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา 4 เรื่อง โดยมุ่งเน้นสร้างการรับรู้กลุ่มเครื่องดื่มไอวี่ในเชิงรุกผ่านโฆษณา 3 เรื่อง และโฟกัสโคโลญจ์อีก 1 เรื่อง
พร้อมกันนี้ ยังลงทุนสั่งซื้อเครื่องจักรอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2551-2552 ภายใต้การใช้งบ 140 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อขยายกำลังการผลิต รองรับการเติบโตตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผ้าไฮยีน ซึ่งได้เตรียมขยายกำลังการผลิตน้ำยาปรับผ้านุ่มต่อเนื่อง หลังจากเดือนเมษายน ได้เปิดตัวสูตรเข้มข้น ปรากฏว่า ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
ด้านช่องทางจำหน่ายบริษัทได้เพิ่มหน่วยรถขายเงินสด 16 คัน จากเดิมที่มีอยู่ 51 คัน หรือราว 67 คัน เพื่อกระจายสินค้าได้ครอบคลุมร้านค้าปลีกรายย่อย ตลอดจนการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคโดยตรง อีกทั้งยังจับมือร่วมกับบริษัทคู่ค้า โดยการจัดโปรโมชันรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างรายได้และยอดขายมากขึ้น โดยมุ่งเน้นผ่านทางช่องทางร้านขายของชำ ร้านค้าสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต พร้อมกันนี้ ยังได้ทุ่มงบ 300 ล้านบาท สร้างสำนักงานขึ้นมาใหม่ บนพื้นที่ 6 ไร่ ย่านรามคำแหง ทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างบุคคลากรและพนักงานให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น รองรับการขยายธุรกิจในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและการแข่งขันที่มีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลประกอบการปีนี้บริษัท ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเติบโตมากกว่า 10% โดยในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโต 4% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะ ท่ามกลางภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ทั้งนี้รายได้ทั้งหมดแบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์ดูแลผ้าไฮยีน 40% ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นวิกซอล และวิซ 30% กลุ่มของใช้ส่วนบุคคล แดนซ์และโฟกัส โคโลญจ์ 20% และเครื่องดื่มไอวี่ 10%