“ประสิทธิ์” เอ็มดีใหม่ ซีพี-เมจิ สั่งโฟกัสนมพาสเจอร์ไรส์สินค้าเรือธง รับมือวิกฤตเศรษฐกิจกระทบตลาดนมโดยรวมปีนี้แทบไม่โต เท 50ล้านบาท อัดการสื่อสารภาพลักษณ์องค์กรปลุกคนไทยดื่มนมพาสเจอร์ไรส์ หวังเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ชิงชิ้นเค้กตลาดแข่งสร้างกระแสดื่มนมเดือด พร้อมชูนวัตกรรมเพื่อสุขภาพสร้างความต่าง ดันธุรกิจขาที่ 2 เกิดเต็มตัว สิ้นปีโต 10% กวาด 3,850 ล้านบาท
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี-เมจิ ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนมพาสเจอร์ไรส์ซีพี-เมจิ เปิดเผยว่า ภายหลังจากเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทซีพี-เมจิ จากก่อนหน้านี้ดำรงตำแหน่งประจำสำนักวิเคราะห์ของประธาน ล่าสุดได้วางนโยบายการตลาดปีนี้ของซีพี-เมจิหันมาโฟกัสกลุ่มนมพาสเจอร์ไรส์ ซึ่งเป็นสินค้าที่บริษัทมีความแข็งแกร่งและเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 50% จากมูลค่า 5,000 ล้านบาท และปัจจุบันสร้างรายได้หลักถึง 70% จากรายได้รวมของซีพี-เมจิ
ทั้งนี้เพื่อสร้างรากฐานนมพาสเจอร์ไรส์ซีพี-เมจิให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อรองรับกับวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาดนมโดยรวมปีนี้ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเล็กน้อย เนื่องจากผู้บริโภคมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย
บริษัทได้วางงบตลาด 50 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นการสื่อสารในเชิงคอร์ปอเรท ผ่านกลุ่มนมพาสเจอร์ไรส์ในแง่ผลประโยชน์ที่ได้รับ และความแตกต่างจากนมพร้อมดื่มให้มากขึ้น เพื่อสร้างตลาดนมพาสเจอร์ไรส์สัดส่วน 30% หรือมูลค่า 5,000 ล้านบาท จากตลาดรวมนม ให้มีอัตราการเติบโตมากขึ้น ผ่านการกระตุ้นให้เกิดการดื่มนมพาสเจอร์ไรส์เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันนมพร้อมดื่มยังเป็นตลาดใหญ่ในสัดส่วน 70%
ทั้งนี้เพื่อรองรับกับกลยุทธ์การทำตลาดของผู้ประกอบการนมรายใหญ่ เช่น โฟร์โมสต์ หันมาโฟกัสกลุ่มนมพร้อมดื่มมากยิ่งขึ้น โดยกระตุ้นผ่านแคมเปญโฆษณาให้คนไทยดื่มนมเพิ่มขึ้น ทั้งในกลุ่มผู้หญิงและชาย ขณะที่ดัชมิลล์หันมาเปิดตัวแคมเปญโฆษณา ผลักดันให้คนไทยกินคัพโยเกิร์ตเพิ่มขึ้นเช่นกัน
“ที่ผ่านมาการรับรู้ของคนไทยระหว่างนมพาสเจอร์ไรส์กับพร้อมดื่ม ว่าคุณค่าที่ได้รับแตกต่างกันอย่างไร ในฐานะที่เราเป็นผู้นำตลาดจึงต้องเร่งให้ข้อมูลแก่กลุ่มเป้าหมายและสร้างการรับรู้ในวงกว้าง”
นอกจากนี้ยังวางแผนเสริมรากฐานกลุ่มธุรกิจขาที่ 2 ให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ได้แก่ โยเกิร์ตถ้วยและนมเปรี้ยวพร้อมดื่ม ซึ่งรั้งอันดับ 2 ของตลาดรองจากดัชมิลล์ โดยเฉพาะไพเก้นนมเปรี้ยวผสมแลคโตบาซิลัสเป็นอันดับ 4 ของตลาด มีส่วนแบ่งไม่ถึง 10% ส่วนผู้นำยาคูลท์ ครองส่วนแบ่ง 40% โดยบริษัทมุ่งนำเสนอนวัตกรรมจากญี่ปุ่นแนะนำสู่ตลาด เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง แต่ขณะเดียวกันสินค้าของซีพี-เมจิ ตอบโจทย์ด้านสุขภาพ เพื่อรองรับกับกระแสสุขภาพที่มาแรง โดยพบว่าปัจจุบันมีเครื่องดื่มหลากหลาย โดยเฉพาะฟังก์ชันนัลดริงก์เกี่ยวกับโคเรสเตอรัล และเครื่องดื่มเสริมสุขภาพสมอง เป็นต้น
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทได้ทุ่มงบ 150-160 ล้านบาท ในส่วนของโรงงานอย่างต่อเนื่องทุกปี ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตลอดจนการขยายไลน์การผลิตเพิ่มขึ้น โดยในส่วนดังกล่าวทางญี่ปุ่นเป็นผู้ดูแล เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งในประเทศปีนี้บริษัทเน้นโปรโมทช่องทางขายตรงในเชิงรุก เพราะเป็นช่องทางที่มีศักยภาพแต่การแข่งขันรุนแรง ขณะเดียวกันเพิ่มตัวแทนจำหน่ายมากขึ้น เพื่อเสริมให้ทุกช่องทางมีความแข็งแกร่ง จากปัจจุบันซีพี-เมจิ แข็งแกร่งในช่องทางร้านค้าสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น และฟู้ดส์เซอร์วิส
พร้อมกันนี้ปีนี้บริษัทวางแผนขยายตลาดต่างประเทศในกลุ่มนมพาสเจอร์ไรส์ในเชิงรุกมากขึ้น อาทิ ประเทศมาเลเซีย ฮ่องกง หลังจากก่อนหน้านี้ส่งออกนมพาสเจอร์ไรส์ในประเทศสิงคโปร์ โดยสิ้นปีนี้ตั้งเป้าสัดส่วนการส่งออกเพิ่มจาก 12-13% เป็น 15% ส่วนผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 10% หรือมีรายได้ 3,850 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามีการเติบโต 10% มีรายได้ 3,500 ล้านบาท ร้าสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น ส่วนการส่งออกเพิ่มจาก 12% เป็น 13%
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี-เมจิ ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนมพาสเจอร์ไรส์ซีพี-เมจิ เปิดเผยว่า ภายหลังจากเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทซีพี-เมจิ จากก่อนหน้านี้ดำรงตำแหน่งประจำสำนักวิเคราะห์ของประธาน ล่าสุดได้วางนโยบายการตลาดปีนี้ของซีพี-เมจิหันมาโฟกัสกลุ่มนมพาสเจอร์ไรส์ ซึ่งเป็นสินค้าที่บริษัทมีความแข็งแกร่งและเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 50% จากมูลค่า 5,000 ล้านบาท และปัจจุบันสร้างรายได้หลักถึง 70% จากรายได้รวมของซีพี-เมจิ
ทั้งนี้เพื่อสร้างรากฐานนมพาสเจอร์ไรส์ซีพี-เมจิให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อรองรับกับวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาดนมโดยรวมปีนี้ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเล็กน้อย เนื่องจากผู้บริโภคมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย
บริษัทได้วางงบตลาด 50 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นการสื่อสารในเชิงคอร์ปอเรท ผ่านกลุ่มนมพาสเจอร์ไรส์ในแง่ผลประโยชน์ที่ได้รับ และความแตกต่างจากนมพร้อมดื่มให้มากขึ้น เพื่อสร้างตลาดนมพาสเจอร์ไรส์สัดส่วน 30% หรือมูลค่า 5,000 ล้านบาท จากตลาดรวมนม ให้มีอัตราการเติบโตมากขึ้น ผ่านการกระตุ้นให้เกิดการดื่มนมพาสเจอร์ไรส์เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันนมพร้อมดื่มยังเป็นตลาดใหญ่ในสัดส่วน 70%
ทั้งนี้เพื่อรองรับกับกลยุทธ์การทำตลาดของผู้ประกอบการนมรายใหญ่ เช่น โฟร์โมสต์ หันมาโฟกัสกลุ่มนมพร้อมดื่มมากยิ่งขึ้น โดยกระตุ้นผ่านแคมเปญโฆษณาให้คนไทยดื่มนมเพิ่มขึ้น ทั้งในกลุ่มผู้หญิงและชาย ขณะที่ดัชมิลล์หันมาเปิดตัวแคมเปญโฆษณา ผลักดันให้คนไทยกินคัพโยเกิร์ตเพิ่มขึ้นเช่นกัน
“ที่ผ่านมาการรับรู้ของคนไทยระหว่างนมพาสเจอร์ไรส์กับพร้อมดื่ม ว่าคุณค่าที่ได้รับแตกต่างกันอย่างไร ในฐานะที่เราเป็นผู้นำตลาดจึงต้องเร่งให้ข้อมูลแก่กลุ่มเป้าหมายและสร้างการรับรู้ในวงกว้าง”
นอกจากนี้ยังวางแผนเสริมรากฐานกลุ่มธุรกิจขาที่ 2 ให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ได้แก่ โยเกิร์ตถ้วยและนมเปรี้ยวพร้อมดื่ม ซึ่งรั้งอันดับ 2 ของตลาดรองจากดัชมิลล์ โดยเฉพาะไพเก้นนมเปรี้ยวผสมแลคโตบาซิลัสเป็นอันดับ 4 ของตลาด มีส่วนแบ่งไม่ถึง 10% ส่วนผู้นำยาคูลท์ ครองส่วนแบ่ง 40% โดยบริษัทมุ่งนำเสนอนวัตกรรมจากญี่ปุ่นแนะนำสู่ตลาด เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง แต่ขณะเดียวกันสินค้าของซีพี-เมจิ ตอบโจทย์ด้านสุขภาพ เพื่อรองรับกับกระแสสุขภาพที่มาแรง โดยพบว่าปัจจุบันมีเครื่องดื่มหลากหลาย โดยเฉพาะฟังก์ชันนัลดริงก์เกี่ยวกับโคเรสเตอรัล และเครื่องดื่มเสริมสุขภาพสมอง เป็นต้น
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทได้ทุ่มงบ 150-160 ล้านบาท ในส่วนของโรงงานอย่างต่อเนื่องทุกปี ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตลอดจนการขยายไลน์การผลิตเพิ่มขึ้น โดยในส่วนดังกล่าวทางญี่ปุ่นเป็นผู้ดูแล เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งในประเทศปีนี้บริษัทเน้นโปรโมทช่องทางขายตรงในเชิงรุก เพราะเป็นช่องทางที่มีศักยภาพแต่การแข่งขันรุนแรง ขณะเดียวกันเพิ่มตัวแทนจำหน่ายมากขึ้น เพื่อเสริมให้ทุกช่องทางมีความแข็งแกร่ง จากปัจจุบันซีพี-เมจิ แข็งแกร่งในช่องทางร้านค้าสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น และฟู้ดส์เซอร์วิส
พร้อมกันนี้ปีนี้บริษัทวางแผนขยายตลาดต่างประเทศในกลุ่มนมพาสเจอร์ไรส์ในเชิงรุกมากขึ้น อาทิ ประเทศมาเลเซีย ฮ่องกง หลังจากก่อนหน้านี้ส่งออกนมพาสเจอร์ไรส์ในประเทศสิงคโปร์ โดยสิ้นปีนี้ตั้งเป้าสัดส่วนการส่งออกเพิ่มจาก 12-13% เป็น 15% ส่วนผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 10% หรือมีรายได้ 3,850 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามีการเติบโต 10% มีรายได้ 3,500 ล้านบาท ร้าสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น ส่วนการส่งออกเพิ่มจาก 12% เป็น 13%