เตรียมเก็บภาษี “ชา-กาแฟ-เครื่องดื่มบำรุงกำลัง” รมช.คลัง เผยข้อเสนอกรมสรรพสามิต เหตุเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย-ทำลายสุขภาพ เตรียมเรียกผู้ประกอบการถกก่อนออกเป็นประกาศกระทรวง ดันยอดภาษีบาป 3 หมื่นล้าน ส่วนผลสรุปภาษีซานติก้าไม่คืบ สั่งยืดเวลาให้คณะกรรมการตรวจสอบไปอีก 30 วัน ดึงดีเอสไอร่วมทีมเพิ่มอำนาจสอบคนนอกได้ บิ๊ก “กระทิงแดง-โออิชิ” ค้าน ชี้ซ้ำเติมผู้ประกอบการ-ผู้บริโภค ขณะที่ รมว.สธ.ชงคุมขายเหล้าช่วงสงกรานต์ 3 วัน เล็งยกเว้นในโรงแรม
นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตได้เสนอแนวทางการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสินค้าฟุ่มเฟือย และสินค้ากลุ่มที่ทำลายสุขภาพ โดยเฉพาะเครื่องดื่มสำเร็จรูปประเภทชา กาแฟ และเครื่องดื่มบำรุงกำลัง เพื่อชดเชยรายได้จากภาษีของรัฐบาลที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในขณะนี้ โดยจะเชิญผู้ประกอบการสินค้าทั้ง 3 ประเภท เข้ามาหารือเพื่อหาแนวทางการจัดเก็บที่ทุกฝ่ายยอมรับ
การเก็บภาษีของสินค้าประเภททำลายสุขภาพดังกล่าว กรมสรรพสามิตสามารถดำเนินการได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องขอมติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่อย่างใด โดยสามารถออกประกาศเป็นกฎกระทรวง เพื่อดำเนินการจัดเก็บภาษีในส่วนนี้ จากการประเมินการจัดเก็บรายได้ภาษีบาปที่จะดำเนินการครั้งใหม่นี้จะทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้จากภาษีในส่วนนี้เพิ่มขึ้นทันที 3 หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2552
“ได้ให้แนวทางในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในภาษีบาป หรือ SIN TAX โดยเน้นในกลุ่มที่เป็นสินค้าทำลายสุขภาพและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะที่เป็นเครื่องดื่มบรรจุกระป๋อง และขวดที่วางจำหน่ายตามตู้ในร้านค้าทั่วไปที่จะทำให้ระบบจัดเก็บมีความชัดเจนและรอบคอบมาก ซึ่งจะขอหารือกับผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าในกลุ่มนี้ก่อนประกาศเป็นกฎกระทรวง” นพ.พฤฒิชัย กล่าว
สอบภาษีซานติก้าเจอโรคเลื่อน
สำหรับการตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบการเสียภาษีสรรพสามิตสถานบริการกรณีซานติก้าผับ โดยให้ นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานนั้น นพ.พฤฒิชัยกล่าวว่า หลังครบกำหนด 15 วัน นายสถิตย์ ได้ยื่นจดหมายเพื่อชี้แจงว่าอำนาจในการตรวจสอบของคณะกรรมการมีจำกัดไม่สามารถเรียกผู้เกี่ยวข้องที่เป็นบุคคลภายนอกเข้ามาสอบสวนได้ ประกอบกับระยะเวลาในการตรวจสอบที่กำหนดไว้ 15 วัน กระชั้นชิดเกินไป จึงขอให้พิจารณาทบทวนการสอบสวนเรื่องนี้อีกครั้ง
ซึ่งจากการชี้แจงดังกล่าวนั้นได้ตัดสินใจขยายเวลาการสอบสวนออกไปอีก 30 วัน เพื่อให้สอดคล้องกับกรมสรรพสามิตที่ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องดังกล่าวเช่นกัน โดยการพิจารณาตัดสินใจจะยึดคณะกรรมการชุดของ นายสถิตย์ เป็นหลัก นอกจากนี้ ยังได้ตั้งเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ เข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการสอบสวนด้วยและยังเพิ่มอำนาจในการเรียกตัวบุคคลภายนอกเข้ามาให้ข้อมูลได้เพิ่มขึ้น
“ในระหว่างที่คณะกรรมการชุด นายสถิตย์ ดำเนินการตรวจสอบนั้นกรมสรรพสามิตก็ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาด้วยเช่นกัน โดยได้ส่งจดหมายมายังคณะกรรมการชุดนายสถิตย์เพื่อให้พิจารณาผลการสอบสวนของกรมสรรพสามิต ประกอบด้วย จึงได้ตัดสินใจขยายเวลาให้อีก 30 วัน และเพิ่มอำนาจการตรวจสอบเพิ่มขึ้น ซึ่งในระยะเวลา 30 วันนี้ทุกอย่างจะต้องมีความชัดเจนว่าจะเก็บภาษีซานติก้าผับหรือไม่และมีใครบ้างที่จะต้องรับผิดชอบการเลี่ยงภาษีที่เกิดขึ้นในครั้งนี้” นพ.พฤฒิชัย กล่าว
เอกชนอ้อนรัฐคิดให้รอบคอบ
นายสานิต หวังวิชา ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังกระทิงแดง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับการชี้แจงเกี่ยวกับแนวทางการปรับภาษีกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังเพิ่มขึ้น หรือปรับภาษีนำเข้าวัตถุดิบแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม อยากให้ภาครัฐพิจารณาถึงการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเครื่องดื่มชูกำลังด้วยว่า สภาพตลาดมูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท เริ่มอิ่มตัวและเติบโตน้อยมาก ปีนี้คาดว่าโตไม่ถึง 1% ซึ่งที่ผ่านมา ก็ทำตลาดยากลำบากด้วยข้อจำกัดต่างๆ นานา มากพอแล้ว
ปัจจุบันเครื่องดื่มชูกำลัง มีการนำเข้าวิตามินบางชนิดมาเป็นส่วนประกอบ แต่ขณะนี้ไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ว่า เสียภาษีนำเข้าเท่าไร คงต้องเช็กรายละเอียดกันอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การที่ภาครัฐปรับภาษีเพิ่มขึ้น อาจมีผลทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น และสินค้าต้องปรับตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ในภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย คงไม่มีผู้ประกอบการรายใดต้องการปรับราคาสินค้า
ด้าน นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากรัฐมีนโยบายที่จะจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มเพิ่มเติม ย่อมส่งผลกระทบในภาพรวมทั้งหมดแน่นอน เพราะทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น และคงไม่มีผู้ประกอบการรายใดที่จะทนแบกรับภาะระเอาไว้โดยที่ไม่จำเป็น จึงต้องไปเพิ่มราคาขายขึ้นให้เป็นไปตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นผู้บริโภคก็จะเดือดร้อนอีกเพราะต้องซื้อของที่แพงขึ้น และเมื่อสินค้าขายได้น้อยลงก็กระทบกับอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมา เราก็เสียภาษีแวตอยู่แล้ว 7% และไปเสียภาษีกำไรสุทธิอีกตอนหลัง
“จริงๆ แล้วรัฐควรจะหันมาสนับสนุนผู้ประกอบการด้วยการให้การสนับสนุนภาคเกษตรในการปลูกวัตถุดิบในการผลิตต่างๆ เช่น ใบชา เป็นต้น เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีต้นทุนที่ต่ำลงสามารถต่อสู้กับต่างประเทศได้ ดังนั้นจึงอยากจะวอนให้ภาครัฐช่วยพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะมีการปรับภาษีอะไรขึ้นมาอีก” นายตัน กล่าว
สธ.ชงคุมขายเหล้าสงกรานต์ 3 วัน
นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการหารือเกี่ยวกับมาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์กับนายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เบื้องต้นจะเสนอใช้มาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบตลอดทั้งวัน รวม 3 วัน คือ ระหว่างวันที่ 12-14 เมษายน ซึ่งถือว่าเป็นแนวทางที่เป็นไปได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม สธ.จะต้องเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีกรรมการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอื่นอีก 7 กระทรวง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรอกำหนดวันประชุมจากนายกรัฐมนตรี
“ที่ผ่านมา ยังไม่เคยหารือเรื่องการห้ามขายเหล้า เบียร์ ช่วงสงกรานต์กับนายกฯ เลยจึงไม่ทราบว่าท่านมีความเห็นอย่างไร แต่ได้คุยกับกระทรวงอื่นๆ บ้างแล้ว ซึ่งมีข้อท้วงติงบ้าง ว่า ไม่อยากให้กระทบกระเทือนกับการท่องเที่ยว โดยขอให้ยกเว้นโรงแรมในกรุงเทพฯ และโรงแรมในพื้นที่ท่องเที่ยว ให้สามารถขายเหล้า เบียร์ได้ตามปกติ เพราะคนที่กิน ดื่ม เป็นนักท่องเที่ยวที่พักอยู่ในโรงแรม และไม่มีรถขับ ซึ่งจะเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายฯ ต่อไป” นายวิทยา กล่าว
นายวิทยา กล่าวด้วยว่า หาก สธ.มีอำนาจตัดสินใจจะเสนอให้ออกมาตรการห้ามขายตลอดทั้ง 7 วัน เพื่อลดปัญหาอุบัติเหตุลง หรือถ้าจะให้ดีอยากจะสั่งให้เลิกขาย เลิกผลิตเหล้า เบียร์ ไปเลย เพราะเป็นสิ่งไม่ดี แต่เรื่องนี้กระทบกับหลายฝ่าย จึงต้องพิจารณาให้รอบด้าน เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุดที่สุด
ด้าน นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการสรุปผลการเปิดรับฟังความเห็นของภาคส่วนต่างๆ เพื่อเสนอให้นายวิทยา พิจารณา โดยจะเสนอเป็นมาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็น 3 รูปแบบ คือ 1.ห้ามจำหน่าย 3 วัน ระหว่างในที่ 12-14 เมษายน 2.ห้ามจำหน่าย 4 วัน ระหว่างวันที่ 12-15 เมษายน และ3.ห้ามจำหน่าย 5 วัน ระหว่างวันที่ 12-16 เมษายน ทั้งนี้ ห้ามจำหน่ายตลอดทั้งวัน และห้ามทั้งคนไทยและต่างชาติ โดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะที่ปรึกษากฎหมาย ได้พิจารณาแล้วว่า หากยกเว้นให้ขายชาวต่างชาติได้ จะถือเป็นการขัดกับรัฐธรรมนูญไทย เรื่องความเสมอภาค
“ส่วนข้อเสนอให้จัดโซนนิงให้สามารถขายเหล้า เบียร์ได้ในร้านอาหารในโรงแรม นั้น ก่อนหน้านี้ได้มีการหารือกับคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร ได้ท้วงติงว่า เป็นไปยากและอาจเกิดโกลาหลได้ ซึ่งปัจจุบันกฎหมายได้อนุโลมให้กับโรงแรมสามารถขายเหล้า เบียร์ ในส่วนของมินิบาร์ให้ห้องพักในโรงแรมอยู่แล้ว” นพ.สมาน กล่าว
นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตได้เสนอแนวทางการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสินค้าฟุ่มเฟือย และสินค้ากลุ่มที่ทำลายสุขภาพ โดยเฉพาะเครื่องดื่มสำเร็จรูปประเภทชา กาแฟ และเครื่องดื่มบำรุงกำลัง เพื่อชดเชยรายได้จากภาษีของรัฐบาลที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในขณะนี้ โดยจะเชิญผู้ประกอบการสินค้าทั้ง 3 ประเภท เข้ามาหารือเพื่อหาแนวทางการจัดเก็บที่ทุกฝ่ายยอมรับ
การเก็บภาษีของสินค้าประเภททำลายสุขภาพดังกล่าว กรมสรรพสามิตสามารถดำเนินการได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องขอมติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่อย่างใด โดยสามารถออกประกาศเป็นกฎกระทรวง เพื่อดำเนินการจัดเก็บภาษีในส่วนนี้ จากการประเมินการจัดเก็บรายได้ภาษีบาปที่จะดำเนินการครั้งใหม่นี้จะทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้จากภาษีในส่วนนี้เพิ่มขึ้นทันที 3 หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2552
“ได้ให้แนวทางในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในภาษีบาป หรือ SIN TAX โดยเน้นในกลุ่มที่เป็นสินค้าทำลายสุขภาพและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะที่เป็นเครื่องดื่มบรรจุกระป๋อง และขวดที่วางจำหน่ายตามตู้ในร้านค้าทั่วไปที่จะทำให้ระบบจัดเก็บมีความชัดเจนและรอบคอบมาก ซึ่งจะขอหารือกับผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าในกลุ่มนี้ก่อนประกาศเป็นกฎกระทรวง” นพ.พฤฒิชัย กล่าว
สอบภาษีซานติก้าเจอโรคเลื่อน
สำหรับการตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบการเสียภาษีสรรพสามิตสถานบริการกรณีซานติก้าผับ โดยให้ นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานนั้น นพ.พฤฒิชัยกล่าวว่า หลังครบกำหนด 15 วัน นายสถิตย์ ได้ยื่นจดหมายเพื่อชี้แจงว่าอำนาจในการตรวจสอบของคณะกรรมการมีจำกัดไม่สามารถเรียกผู้เกี่ยวข้องที่เป็นบุคคลภายนอกเข้ามาสอบสวนได้ ประกอบกับระยะเวลาในการตรวจสอบที่กำหนดไว้ 15 วัน กระชั้นชิดเกินไป จึงขอให้พิจารณาทบทวนการสอบสวนเรื่องนี้อีกครั้ง
ซึ่งจากการชี้แจงดังกล่าวนั้นได้ตัดสินใจขยายเวลาการสอบสวนออกไปอีก 30 วัน เพื่อให้สอดคล้องกับกรมสรรพสามิตที่ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องดังกล่าวเช่นกัน โดยการพิจารณาตัดสินใจจะยึดคณะกรรมการชุดของ นายสถิตย์ เป็นหลัก นอกจากนี้ ยังได้ตั้งเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ เข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการสอบสวนด้วยและยังเพิ่มอำนาจในการเรียกตัวบุคคลภายนอกเข้ามาให้ข้อมูลได้เพิ่มขึ้น
“ในระหว่างที่คณะกรรมการชุด นายสถิตย์ ดำเนินการตรวจสอบนั้นกรมสรรพสามิตก็ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาด้วยเช่นกัน โดยได้ส่งจดหมายมายังคณะกรรมการชุดนายสถิตย์เพื่อให้พิจารณาผลการสอบสวนของกรมสรรพสามิต ประกอบด้วย จึงได้ตัดสินใจขยายเวลาให้อีก 30 วัน และเพิ่มอำนาจการตรวจสอบเพิ่มขึ้น ซึ่งในระยะเวลา 30 วันนี้ทุกอย่างจะต้องมีความชัดเจนว่าจะเก็บภาษีซานติก้าผับหรือไม่และมีใครบ้างที่จะต้องรับผิดชอบการเลี่ยงภาษีที่เกิดขึ้นในครั้งนี้” นพ.พฤฒิชัย กล่าว
เอกชนอ้อนรัฐคิดให้รอบคอบ
นายสานิต หวังวิชา ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังกระทิงแดง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับการชี้แจงเกี่ยวกับแนวทางการปรับภาษีกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังเพิ่มขึ้น หรือปรับภาษีนำเข้าวัตถุดิบแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม อยากให้ภาครัฐพิจารณาถึงการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเครื่องดื่มชูกำลังด้วยว่า สภาพตลาดมูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท เริ่มอิ่มตัวและเติบโตน้อยมาก ปีนี้คาดว่าโตไม่ถึง 1% ซึ่งที่ผ่านมา ก็ทำตลาดยากลำบากด้วยข้อจำกัดต่างๆ นานา มากพอแล้ว
ปัจจุบันเครื่องดื่มชูกำลัง มีการนำเข้าวิตามินบางชนิดมาเป็นส่วนประกอบ แต่ขณะนี้ไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ว่า เสียภาษีนำเข้าเท่าไร คงต้องเช็กรายละเอียดกันอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การที่ภาครัฐปรับภาษีเพิ่มขึ้น อาจมีผลทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น และสินค้าต้องปรับตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ในภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย คงไม่มีผู้ประกอบการรายใดต้องการปรับราคาสินค้า
ด้าน นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากรัฐมีนโยบายที่จะจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มเพิ่มเติม ย่อมส่งผลกระทบในภาพรวมทั้งหมดแน่นอน เพราะทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น และคงไม่มีผู้ประกอบการรายใดที่จะทนแบกรับภาะระเอาไว้โดยที่ไม่จำเป็น จึงต้องไปเพิ่มราคาขายขึ้นให้เป็นไปตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นผู้บริโภคก็จะเดือดร้อนอีกเพราะต้องซื้อของที่แพงขึ้น และเมื่อสินค้าขายได้น้อยลงก็กระทบกับอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมา เราก็เสียภาษีแวตอยู่แล้ว 7% และไปเสียภาษีกำไรสุทธิอีกตอนหลัง
“จริงๆ แล้วรัฐควรจะหันมาสนับสนุนผู้ประกอบการด้วยการให้การสนับสนุนภาคเกษตรในการปลูกวัตถุดิบในการผลิตต่างๆ เช่น ใบชา เป็นต้น เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีต้นทุนที่ต่ำลงสามารถต่อสู้กับต่างประเทศได้ ดังนั้นจึงอยากจะวอนให้ภาครัฐช่วยพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะมีการปรับภาษีอะไรขึ้นมาอีก” นายตัน กล่าว
สธ.ชงคุมขายเหล้าสงกรานต์ 3 วัน
นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการหารือเกี่ยวกับมาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์กับนายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เบื้องต้นจะเสนอใช้มาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบตลอดทั้งวัน รวม 3 วัน คือ ระหว่างวันที่ 12-14 เมษายน ซึ่งถือว่าเป็นแนวทางที่เป็นไปได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม สธ.จะต้องเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีกรรมการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอื่นอีก 7 กระทรวง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรอกำหนดวันประชุมจากนายกรัฐมนตรี
“ที่ผ่านมา ยังไม่เคยหารือเรื่องการห้ามขายเหล้า เบียร์ ช่วงสงกรานต์กับนายกฯ เลยจึงไม่ทราบว่าท่านมีความเห็นอย่างไร แต่ได้คุยกับกระทรวงอื่นๆ บ้างแล้ว ซึ่งมีข้อท้วงติงบ้าง ว่า ไม่อยากให้กระทบกระเทือนกับการท่องเที่ยว โดยขอให้ยกเว้นโรงแรมในกรุงเทพฯ และโรงแรมในพื้นที่ท่องเที่ยว ให้สามารถขายเหล้า เบียร์ได้ตามปกติ เพราะคนที่กิน ดื่ม เป็นนักท่องเที่ยวที่พักอยู่ในโรงแรม และไม่มีรถขับ ซึ่งจะเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายฯ ต่อไป” นายวิทยา กล่าว
นายวิทยา กล่าวด้วยว่า หาก สธ.มีอำนาจตัดสินใจจะเสนอให้ออกมาตรการห้ามขายตลอดทั้ง 7 วัน เพื่อลดปัญหาอุบัติเหตุลง หรือถ้าจะให้ดีอยากจะสั่งให้เลิกขาย เลิกผลิตเหล้า เบียร์ ไปเลย เพราะเป็นสิ่งไม่ดี แต่เรื่องนี้กระทบกับหลายฝ่าย จึงต้องพิจารณาให้รอบด้าน เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุดที่สุด
ด้าน นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการสรุปผลการเปิดรับฟังความเห็นของภาคส่วนต่างๆ เพื่อเสนอให้นายวิทยา พิจารณา โดยจะเสนอเป็นมาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็น 3 รูปแบบ คือ 1.ห้ามจำหน่าย 3 วัน ระหว่างในที่ 12-14 เมษายน 2.ห้ามจำหน่าย 4 วัน ระหว่างวันที่ 12-15 เมษายน และ3.ห้ามจำหน่าย 5 วัน ระหว่างวันที่ 12-16 เมษายน ทั้งนี้ ห้ามจำหน่ายตลอดทั้งวัน และห้ามทั้งคนไทยและต่างชาติ โดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะที่ปรึกษากฎหมาย ได้พิจารณาแล้วว่า หากยกเว้นให้ขายชาวต่างชาติได้ จะถือเป็นการขัดกับรัฐธรรมนูญไทย เรื่องความเสมอภาค
“ส่วนข้อเสนอให้จัดโซนนิงให้สามารถขายเหล้า เบียร์ได้ในร้านอาหารในโรงแรม นั้น ก่อนหน้านี้ได้มีการหารือกับคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร ได้ท้วงติงว่า เป็นไปยากและอาจเกิดโกลาหลได้ ซึ่งปัจจุบันกฎหมายได้อนุโลมให้กับโรงแรมสามารถขายเหล้า เบียร์ ในส่วนของมินิบาร์ให้ห้องพักในโรงแรมอยู่แล้ว” นพ.สมาน กล่าว