สสปน.ยอมรับธุรกิจไมซ์ปีนี้โต 0% จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้โต 10% และโตก้าวกระโดดมา 4 ปีซ้อน เหตุจากวิกฤตเศรษฐกิจองค์กรลดงบสัมมนา ด้านประเทศผู้ขายแข่งขันชิงลูกค้า เกิดสงครามถล่มราคา ตลาดเป็นของผู้ซื้อ กระทบค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริป 2 เดือนแรกวูบ 40% ส่วนไทยขอชูจุดขายแวลู ฟอร์มันนี่สู้ศึก หวังงาน2008 ASEAN-BISช่วยธุรกิจฟื้นตัว
นางมาลินี กิตะพาณิชย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการจัดประชุมและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ(องค์การมหาชน) หรือ สสปน. เปิดเผยว่า สถานการณ์นักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ปีนี้จะไม่ดีเท่ากับปีที่ผ่านๆมา สาเหตุจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ทุกองค์กรปรับลดงบประมาณที่ใช้สำหรับการเดินทางเพื่อจัดประชุมสัมมนา และดูงาน นอกจากนั้นทุกประเทศต่างรัดเข็มขัด ด้วยการรณรงค์ให้เดินทางภายในประเทศ ไปพร้อมกับนโยบายทางการแข่งขัน ช่วงชิงลูกค้าต่างประเทศให้เดินทางมาจัดงานที่ประเทศของตัวเอง ใช้กลยุทธจัดโปรโมชั่น คลอดแพกเกจ ลด แจก แถม เพื่อดึงดูดลูกค้า ทำให้ตลาดตกเป็นของผู้ซื้อที่จะเลือกรับบริการ
จากเหตุผลดังกล่าวทำให้พฤติกรรมนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ เปลี่ยนไป เช่น จำนวนวันพักลดลง กิจกรรมลดลง เพราะประหยัดงบประมาณ ส่งผลให้ภาพรวมนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ ที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย ช่วง 2 เดือนนี้ (ม.ค.-ก.พ.) มีตัวเลขค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปลดลงไปถึง 40 % จากเดิมที่มีค่าใช้จ่าย 8 หมื่นบาทต่อคนต่อทริป วันพักเฉลี่ย 4วัน 3 คืน ซึ่ง สสปน.จะต้องใช้นโยบาบจับมือกับภาคเอกชนจัดโปรโมชั่นให้มากขึ้น แต่จะเน้นเรื่องของความคุ้มค่าเงิน เช่น จัดสัมมนาที่ประเทศไทยเสียค่าใช้จ่ายถูกกว่า หรือเท่ากับจัดสัมมนาในประเทศของตัวเอง หรือประเทศคู่แข่งขันอย่างสิงคโปร์ หรือ ฮ่องกง แต่จะได้รับการบริการ การจัดสถานที่ ที่คุ้มค่ากว่า ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่ชูจุดขาย อะมซิ่งไทยแลนด์ อะเมซิ่งแวลู
“จากสถานการณ์ความไม่ปกติของเศรษฐกิจโลก และการแข่งขันที่เกิดขึ้นนี้ นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ ผู้อำนวยการ สสปน. จึงให้นโยบายว่าต้องทำตลาดไมซ์ปีนี้ไม่ให้ลดลงจากปีก่อน หรือเติบโต 0%ก็ยังดี ซึ่งในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เราเติบโตแบบก้าวกระโดด เฉลี่ยปีละ 15-20% แต่ยังไม่ได้มีการปรับเป้าอย่างเป็นทางการ “
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อปลายปีที่ผ่านมา นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ ผู้อำนวยการ สสปน. ได้กล่าวไว้ว่า จากวิกฤตการเมืองในประเทศและวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทำให้ต้องปรับลดเป้าหมายปี 2551 เหลือ จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ ที่ 636,000 คน จากแผนเดิมที่ตั้งไว้เกือบ 7 แสนคน ส่วนรายได้ ลดมาอยู่ที่ 52,000 ล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ 65,000 ล้านบาท ส่วนปี 2552 ตั้งเป้าเติบโตจากปี 2551 อีก10% เป็น หรือมีจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ ที่ 699,600 คน สร้างรายได้เข้าประเทศ 57,000 ล้านบาท
ล่าสุดสสปน.ได้เข้าสนับสนุนการจัดประชุม 2008 ASEAN Business and Investment Summit หรือ 2008 ASEAN-BIS ระหว่างวันที่ 25-27 ก.พ. 52 ที่ รร.พลาซ่า แอทธินี กรุงเทพฯ เช่นเรื่องการประชาสัมพันธ์ เป็นต้น ทั้งนี้งานดังกล่าวได้เลื่อนจากเดิมกำหนดที่จะจัดขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประชุมภาคเอกชนใน 3 ธุรกิจใหญ่ของกลุ่มสมาชิกอาเซียน และ นักธุรกิจที่สนใจจากภาคยุโรปและอเมริกา ได้แก่ สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม และ สมาคมธนาคาร เพื่อรวบรวมปัญหา และข้อเรียกร้อง เพื่อจะนำเสนอต่อที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ซึ่งจะจัดขึ้นทุกครั้งที่มีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน โดยปีนี้มีผู้เข้าร่วมประชุม 700 คน จากทุกครั้งที่จัดจะมีผู้ร่วมประชุมราว 1,000 คน เพราะทุกอง๕กรประหยัดค่าใช้จ่ายจึงลดจำนวนผู้เข้าร่วมประชุม โดยใน 700 คนปีนี้ คาดว่าจะสร้างรายได้เข้าประเทศ 45 ล้านบาท ไม่นับรวมรายได้และเงินสะพัดที่จะเกิดภายหลังการเจรจา
อย่างไรก็ตาม สสปน.เชื่อว่าการจัดประชุมครั้งนี้จะช่วยเรียกความเชื่อมั่นในสายตาชาวต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยให้กลับมาเชื่อมั่นให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการจัดประชุมทางธุรกิจต่อไปเหมือนเช่นที่ผ่านมา ส่วนแผนธุรกิจปีนี้ ต้อทำเชิงรุกเพิ่มขึ้น รักษาตลาดเก่า มองหาตลาดใหม่ในแถบภูมิภาคเดียวกัน โดยตลาดที่มีศักยภาพสูง เช่น ออสเตรเลีย อินเดีย ตลาดใหม่ เช่น สแกนดิเนเวีย รัสเซีย เป็นต้น ล่าสุด การเดินทางไปร่วมงานเทรดโชว์ และโรดโชว์ AIME 2009 ที่ ออสเตรเลีย องค์กรต่างๆสนใจประเทศไทยเดินทางมาร่วมรับฟังข้อมูลของประเทศไทยจำนวนมาก เชื่อว่าจะช่วยให้ช่วง 10 เดือนที่เหลือปีนี้อาจพลิกๆฟื้นได้ดีขึ้น โดยตลอดปี สสปน.ตั้งเป้าดึงงานเข้าจัดในประเทศไทยราว 500 งาน ปัจจุบันมีตอบรับมาแล้ว 173 งาน
นางมาลินี กิตะพาณิชย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการจัดประชุมและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ(องค์การมหาชน) หรือ สสปน. เปิดเผยว่า สถานการณ์นักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ปีนี้จะไม่ดีเท่ากับปีที่ผ่านๆมา สาเหตุจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ทุกองค์กรปรับลดงบประมาณที่ใช้สำหรับการเดินทางเพื่อจัดประชุมสัมมนา และดูงาน นอกจากนั้นทุกประเทศต่างรัดเข็มขัด ด้วยการรณรงค์ให้เดินทางภายในประเทศ ไปพร้อมกับนโยบายทางการแข่งขัน ช่วงชิงลูกค้าต่างประเทศให้เดินทางมาจัดงานที่ประเทศของตัวเอง ใช้กลยุทธจัดโปรโมชั่น คลอดแพกเกจ ลด แจก แถม เพื่อดึงดูดลูกค้า ทำให้ตลาดตกเป็นของผู้ซื้อที่จะเลือกรับบริการ
จากเหตุผลดังกล่าวทำให้พฤติกรรมนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ เปลี่ยนไป เช่น จำนวนวันพักลดลง กิจกรรมลดลง เพราะประหยัดงบประมาณ ส่งผลให้ภาพรวมนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ ที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย ช่วง 2 เดือนนี้ (ม.ค.-ก.พ.) มีตัวเลขค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปลดลงไปถึง 40 % จากเดิมที่มีค่าใช้จ่าย 8 หมื่นบาทต่อคนต่อทริป วันพักเฉลี่ย 4วัน 3 คืน ซึ่ง สสปน.จะต้องใช้นโยบาบจับมือกับภาคเอกชนจัดโปรโมชั่นให้มากขึ้น แต่จะเน้นเรื่องของความคุ้มค่าเงิน เช่น จัดสัมมนาที่ประเทศไทยเสียค่าใช้จ่ายถูกกว่า หรือเท่ากับจัดสัมมนาในประเทศของตัวเอง หรือประเทศคู่แข่งขันอย่างสิงคโปร์ หรือ ฮ่องกง แต่จะได้รับการบริการ การจัดสถานที่ ที่คุ้มค่ากว่า ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่ชูจุดขาย อะมซิ่งไทยแลนด์ อะเมซิ่งแวลู
“จากสถานการณ์ความไม่ปกติของเศรษฐกิจโลก และการแข่งขันที่เกิดขึ้นนี้ นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ ผู้อำนวยการ สสปน. จึงให้นโยบายว่าต้องทำตลาดไมซ์ปีนี้ไม่ให้ลดลงจากปีก่อน หรือเติบโต 0%ก็ยังดี ซึ่งในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เราเติบโตแบบก้าวกระโดด เฉลี่ยปีละ 15-20% แต่ยังไม่ได้มีการปรับเป้าอย่างเป็นทางการ “
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อปลายปีที่ผ่านมา นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ ผู้อำนวยการ สสปน. ได้กล่าวไว้ว่า จากวิกฤตการเมืองในประเทศและวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทำให้ต้องปรับลดเป้าหมายปี 2551 เหลือ จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ ที่ 636,000 คน จากแผนเดิมที่ตั้งไว้เกือบ 7 แสนคน ส่วนรายได้ ลดมาอยู่ที่ 52,000 ล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ 65,000 ล้านบาท ส่วนปี 2552 ตั้งเป้าเติบโตจากปี 2551 อีก10% เป็น หรือมีจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ ที่ 699,600 คน สร้างรายได้เข้าประเทศ 57,000 ล้านบาท
ล่าสุดสสปน.ได้เข้าสนับสนุนการจัดประชุม 2008 ASEAN Business and Investment Summit หรือ 2008 ASEAN-BIS ระหว่างวันที่ 25-27 ก.พ. 52 ที่ รร.พลาซ่า แอทธินี กรุงเทพฯ เช่นเรื่องการประชาสัมพันธ์ เป็นต้น ทั้งนี้งานดังกล่าวได้เลื่อนจากเดิมกำหนดที่จะจัดขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประชุมภาคเอกชนใน 3 ธุรกิจใหญ่ของกลุ่มสมาชิกอาเซียน และ นักธุรกิจที่สนใจจากภาคยุโรปและอเมริกา ได้แก่ สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม และ สมาคมธนาคาร เพื่อรวบรวมปัญหา และข้อเรียกร้อง เพื่อจะนำเสนอต่อที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ซึ่งจะจัดขึ้นทุกครั้งที่มีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน โดยปีนี้มีผู้เข้าร่วมประชุม 700 คน จากทุกครั้งที่จัดจะมีผู้ร่วมประชุมราว 1,000 คน เพราะทุกอง๕กรประหยัดค่าใช้จ่ายจึงลดจำนวนผู้เข้าร่วมประชุม โดยใน 700 คนปีนี้ คาดว่าจะสร้างรายได้เข้าประเทศ 45 ล้านบาท ไม่นับรวมรายได้และเงินสะพัดที่จะเกิดภายหลังการเจรจา
อย่างไรก็ตาม สสปน.เชื่อว่าการจัดประชุมครั้งนี้จะช่วยเรียกความเชื่อมั่นในสายตาชาวต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยให้กลับมาเชื่อมั่นให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการจัดประชุมทางธุรกิจต่อไปเหมือนเช่นที่ผ่านมา ส่วนแผนธุรกิจปีนี้ ต้อทำเชิงรุกเพิ่มขึ้น รักษาตลาดเก่า มองหาตลาดใหม่ในแถบภูมิภาคเดียวกัน โดยตลาดที่มีศักยภาพสูง เช่น ออสเตรเลีย อินเดีย ตลาดใหม่ เช่น สแกนดิเนเวีย รัสเซีย เป็นต้น ล่าสุด การเดินทางไปร่วมงานเทรดโชว์ และโรดโชว์ AIME 2009 ที่ ออสเตรเลีย องค์กรต่างๆสนใจประเทศไทยเดินทางมาร่วมรับฟังข้อมูลของประเทศไทยจำนวนมาก เชื่อว่าจะช่วยให้ช่วง 10 เดือนที่เหลือปีนี้อาจพลิกๆฟื้นได้ดีขึ้น โดยตลอดปี สสปน.ตั้งเป้าดึงงานเข้าจัดในประเทศไทยราว 500 งาน ปัจจุบันมีตอบรับมาแล้ว 173 งาน