สมาคมชาวนาไทย ยื่นหนังสือเร่งเปิดรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง 4 ล้านตัน ตันละ 1.3 หมื่น เริ่ม 15 มี.ค.นี้ กลัวพ่อค้าฉวยโอกาสกดราคารับซื้อ หลังปีนี้อากาศแปรปรวน เก็บเกี่ยวไม่ตรงตามฤดูกาล “พาณิชย์” รับเรื่องเร่งศึกษาก่อนชง กขช. พิจารณา
นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย เปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือถึง นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ พิจารณาเร่งรัดเปิดโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2552 จำนวน 4 ล้านตัน ให้เร็วกว่าปกติ โดยเสนอให้เริ่มรับจำนำตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค.- 30 ก.ย. ไวกว่าปกติที่รับจำนำเดือนเม.ย. โดยกำหนดราคารับจำนำที่ ข้าวเปลือก 5% ความชื้น 15% ตันละ 13,000 บาท ข้าวปทุมธานี 5% ความชื้น 15% ตันละ 13,500 บาท ข้าวเหนียว 5% ความชื้น 15% ตันละ 9,000 บาท เพื่อให้เสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ทันวันที่ 19 ก.พ.นี้
ทั้งนี้ การกำหนดราคาขั้นต่ำ เพื่อป้องกันไม่ให้พ่อค้าฉวยโอกาสเอาเปรียบชาวนา เนื่องจากขณะนี้ใกล้ครบกำหนดโครงการรับจำนำข้าวนาปีปีการผลิต 2551-52 ในวันที่ 28 ก.พ.นี้ แต่ชาวนาบางยังนำข้าวขายน้อยอยู่ เพราะประสบปัญหาอากาศแปรปรวน ทำให้ข้าวออกรวงช้ากว่ากำหนด ดังนั้น จึงเกรงว่าหากถึงเดือนมี.ค. เมื่อมีข้าวออกมามาก และไม่มีการรับจำนำจะทำให้ชาวนาถูกพ่อค้าฉวยโอกาสกดราคารับซื้อได้
ขณะเดียวกัน ยังเสนอให้พิจารณาการสีแปรสภาพ โดยขอให้สั่งสีแปรภายใน 7 วัน เพื่อที่ข้าวจะได้ไม่ค้างสต็อกนาน โดยการที่สั่งแปรช้าจะทำให้ชาวนาเสียโอกาสเนื่องจากโรงสีจะไม่สามารถรับจำนำข้าวจากชาวนาได้ เพราะสต็อกเต็ม ทำให้ชาวนาต้องหาทางออก ด้วยการนำข้าวออกขายในราคาตลาดปกติแทน ส่งผลให้พ่อค้าฉวยโอกาสเอาเปรียบชาวนา
“ที่ต้องกำหนดราคารับจำนำใกล้เคียงกับราคาปัจจุบัน และสูงกว่าราคาตลาด เพราะต้นทุนการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวมีราคาเพิ่มขึ้นและไม่ได้ปรับลดลงทั้งราคาน้ำมัน และปุ๋ย ขณะที่ผลผลิตต่อไร่ลดลงจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากโรคเชื้อราในข้าวและภัยแล้ง อีกทั้งปริมาณข้าวที่จะออกสู่ตลาดจำนวนมากเกือบ 2 ล้านตันในเดือนมี.ค.-เม.ย.นี้ และมีผลผลิตนาปรังรอบสองออกสู่ตลาดยาวถึงเดือนก.ย. จึงต้องขอให้เปิดรับจำนำต่อเนื่อง” นายประสิทธิ์กล่าว
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้ทีมที่ปรึกษา กรมการค้าภายใน และองค์การคลังสินค้า (อคส.) จัดทำรายละเอียดและเตรียมความพร้อมในการเปิดโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปีปีการผลิต 2552 ว่าควรกำหนดราคาและปริมาณเท่าไร เพื่อไม่กระทบต่อโครงการรับจำนำและแนวทางในการบริหารจัดการข้าวของรัฐ
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ขณะนี้กำลังมีการถกเถียงถึงราคาและปริมาณรับจำนำข้าวที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการประท้วงของเกษตรกร ซึ่งฝ่ายผู้ส่งออกและโรงสีต้องการให้รัฐกำหนดราคารับจำนำที่ตันละ 10,000-11,000 บาท เพื่อให้ราคาส่งออกใกล้เคียงกับเวียดนามตันละ 400-500 เหรียญสหรัฐ เพราะเชื่อว่าเป็นระดับราคาเฉลี่ยเหมาะสมต่อการส่งออกข้าวตลอดทั้งปี แต่สมาคมชาวนาไทยเห็นว่าควรเสนอที่ตันละ 13,000-14,000 บาท เพราะต้นทุนการผลิตสูงมากทั้ง ค่าปุ๋ย ยากำจัดวัชพืช ศัตรูพืช และผลผลิตยังเสียหายจากภัยธรรมชาติและอากาศหนาวนานทำให้ข้าวออกมาน้อยมาก ส่วนกระทรวงพาณิชย์ต้องการรักษาระดับราคาตันละ 12,000-15,000 บาท
นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย เปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือถึง นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ พิจารณาเร่งรัดเปิดโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2552 จำนวน 4 ล้านตัน ให้เร็วกว่าปกติ โดยเสนอให้เริ่มรับจำนำตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค.- 30 ก.ย. ไวกว่าปกติที่รับจำนำเดือนเม.ย. โดยกำหนดราคารับจำนำที่ ข้าวเปลือก 5% ความชื้น 15% ตันละ 13,000 บาท ข้าวปทุมธานี 5% ความชื้น 15% ตันละ 13,500 บาท ข้าวเหนียว 5% ความชื้น 15% ตันละ 9,000 บาท เพื่อให้เสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ทันวันที่ 19 ก.พ.นี้
ทั้งนี้ การกำหนดราคาขั้นต่ำ เพื่อป้องกันไม่ให้พ่อค้าฉวยโอกาสเอาเปรียบชาวนา เนื่องจากขณะนี้ใกล้ครบกำหนดโครงการรับจำนำข้าวนาปีปีการผลิต 2551-52 ในวันที่ 28 ก.พ.นี้ แต่ชาวนาบางยังนำข้าวขายน้อยอยู่ เพราะประสบปัญหาอากาศแปรปรวน ทำให้ข้าวออกรวงช้ากว่ากำหนด ดังนั้น จึงเกรงว่าหากถึงเดือนมี.ค. เมื่อมีข้าวออกมามาก และไม่มีการรับจำนำจะทำให้ชาวนาถูกพ่อค้าฉวยโอกาสกดราคารับซื้อได้
ขณะเดียวกัน ยังเสนอให้พิจารณาการสีแปรสภาพ โดยขอให้สั่งสีแปรภายใน 7 วัน เพื่อที่ข้าวจะได้ไม่ค้างสต็อกนาน โดยการที่สั่งแปรช้าจะทำให้ชาวนาเสียโอกาสเนื่องจากโรงสีจะไม่สามารถรับจำนำข้าวจากชาวนาได้ เพราะสต็อกเต็ม ทำให้ชาวนาต้องหาทางออก ด้วยการนำข้าวออกขายในราคาตลาดปกติแทน ส่งผลให้พ่อค้าฉวยโอกาสเอาเปรียบชาวนา
“ที่ต้องกำหนดราคารับจำนำใกล้เคียงกับราคาปัจจุบัน และสูงกว่าราคาตลาด เพราะต้นทุนการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวมีราคาเพิ่มขึ้นและไม่ได้ปรับลดลงทั้งราคาน้ำมัน และปุ๋ย ขณะที่ผลผลิตต่อไร่ลดลงจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากโรคเชื้อราในข้าวและภัยแล้ง อีกทั้งปริมาณข้าวที่จะออกสู่ตลาดจำนวนมากเกือบ 2 ล้านตันในเดือนมี.ค.-เม.ย.นี้ และมีผลผลิตนาปรังรอบสองออกสู่ตลาดยาวถึงเดือนก.ย. จึงต้องขอให้เปิดรับจำนำต่อเนื่อง” นายประสิทธิ์กล่าว
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้ทีมที่ปรึกษา กรมการค้าภายใน และองค์การคลังสินค้า (อคส.) จัดทำรายละเอียดและเตรียมความพร้อมในการเปิดโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปีปีการผลิต 2552 ว่าควรกำหนดราคาและปริมาณเท่าไร เพื่อไม่กระทบต่อโครงการรับจำนำและแนวทางในการบริหารจัดการข้าวของรัฐ
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ขณะนี้กำลังมีการถกเถียงถึงราคาและปริมาณรับจำนำข้าวที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการประท้วงของเกษตรกร ซึ่งฝ่ายผู้ส่งออกและโรงสีต้องการให้รัฐกำหนดราคารับจำนำที่ตันละ 10,000-11,000 บาท เพื่อให้ราคาส่งออกใกล้เคียงกับเวียดนามตันละ 400-500 เหรียญสหรัฐ เพราะเชื่อว่าเป็นระดับราคาเฉลี่ยเหมาะสมต่อการส่งออกข้าวตลอดทั้งปี แต่สมาคมชาวนาไทยเห็นว่าควรเสนอที่ตันละ 13,000-14,000 บาท เพราะต้นทุนการผลิตสูงมากทั้ง ค่าปุ๋ย ยากำจัดวัชพืช ศัตรูพืช และผลผลิตยังเสียหายจากภัยธรรมชาติและอากาศหนาวนานทำให้ข้าวออกมาน้อยมาก ส่วนกระทรวงพาณิชย์ต้องการรักษาระดับราคาตันละ 12,000-15,000 บาท
