ห้างยาไทย 1942 ทุ่มกว่า 20 ล้านบาท รีแบรนดิ้งเฮโม-วิต ครั้งแรกรอบ 50 ปี ยกเครื่องแพกเกจจิ้ง ปรับการสื่อสาร ส่ง “วิน-ธาวิน” ขึ้นแท่นพรีเซ็นเตอร์ หวังสลัดคราบแบรนด์เก่าแก่ เข้าถึงคนรุ่นใหม่อายุ 25 ปี จ่อคิวแตกไลน์ชนิดน้ำและเข้มข้น ชี้ ตลาดวิตามินปีนี้อ่วมรับพิษเศรษฐกิจโต 5% สิ้นปีโตรายได้เฮโม-วิต โต 10%
นายปิติ เดชคง ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท ห้างยาไทย 1942 จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยาเฮโม-วิต เปิดเผยว่า บริษัทได้ทุ่มงบกว่า 20 ล้านบาท รีแบรนดิ้งเฮโม-วิต วิตามินบำรุง ครั้งแรกในรอบ 50 ปี โดยมีการปรับบรรจุภัณฑ์ การสื่อสารทางการตลาดใหม่ เพื่อขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่หรือผู้ที่เริ่มเข้าสู่วัยทำงานอายุ 25 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่อยู่ในตลาดมากนาน ฐานลูกค้าหลักเป็นกลุ่มที่เริ่มมีอายุมาก 40 ปีขึ้นไป
สำหรับกลยุทธ์การตลาด บริษัทมุ่งเน้นการสื่อสารทางการตลาดในเชิงรุก ด้วยการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา โดยนำ วิน-ธาวิน เยาวพลกุล มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ สื่อสารถึงความทันสมัย หลังจากเมื่อปี 2545 บริษัทได้นำ ป้าจุ๊ มาพรีเซ็นเตอร์ อีกทั้งได้เตรียมจัดกิจกรรมโรดโชว์ สื่อโฆษณาทางสิ่งพิมพ์ นิตยสาร เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง หลังจากที่ผ่านมาเฮโม-วิต ขาดการสื่อสาร ทำให้แบรนด์ไม่เป็นที่รู้จักสำหรับคนรุ่นใหม่
พร้อมกันนี้ ยังวางแผนเปิดตัวเฮโม-วิต สำหรับกิน 1 เม็ด ปลายเดือนมกราคม นี้ และเตรียมส่งชนิดน้ำสู่ตลาด จากเมื่อปีที่ผ่านมาบริษัทเปิดตัวเฮโม-วิต สำหรับเด็ก ทั้งนี้ เพื่อให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ส่วนด้านช่องทางจำหน่ายยังไม่มีแผนขยาย จากปัจจุบันจำหน่ายผ่านช่องทางร้านขายยาเป็นหลัก ซึ่งหากแบรนด์มีความแข็งแกร่ง และสามารถขึ้นทะเบียนจากยามาเป็นอาหาร บริษัทวางขยายช่องทางร้านค้าสะดวกซื้อ
ภาวะตลาดวิตามินมูลค่า 8,000 ล้านบาท ในปีนี้คาดว่า เติบโต 5% เนื่องจากผลพวงจากเศรษฐกิจถดถอย ผู้บริโภคมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้ โดยเฉพาะวิตามินที่มีราคาสูง คาดว่า จะได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม จากปกติหากสภาพเศรษฐกิจดี ตลาดวิตามินเติบโต 10% สำหรับพฤติกรรมการของผู้บริโภค มีแนวโน้มว่ากินวิตามินเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพราะมีความใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
นายปิติ กล่าวว่า บริษัทยังได้ทุ่มงบ 3-4 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 20% เพื่อรองรับการเติบโต และจากการรีแบรนดิ้งในครั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้กลุ่มเฮโม-วิต มีอัตราการเติบโต 10% เมื่อเทียบกับช่วงหลายปีที่ผ่านมา เฮโม-วิต เติบโต 3-4% โดยมาจากการขยายฐานกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นสัดส่วน 50% และกลุ่มเป้าหมายเดิมอายุ 40 ปีขึ้นไป สัดส่วน 50%
นายปิติ เดชคง ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท ห้างยาไทย 1942 จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยาเฮโม-วิต เปิดเผยว่า บริษัทได้ทุ่มงบกว่า 20 ล้านบาท รีแบรนดิ้งเฮโม-วิต วิตามินบำรุง ครั้งแรกในรอบ 50 ปี โดยมีการปรับบรรจุภัณฑ์ การสื่อสารทางการตลาดใหม่ เพื่อขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่หรือผู้ที่เริ่มเข้าสู่วัยทำงานอายุ 25 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่อยู่ในตลาดมากนาน ฐานลูกค้าหลักเป็นกลุ่มที่เริ่มมีอายุมาก 40 ปีขึ้นไป
สำหรับกลยุทธ์การตลาด บริษัทมุ่งเน้นการสื่อสารทางการตลาดในเชิงรุก ด้วยการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา โดยนำ วิน-ธาวิน เยาวพลกุล มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ สื่อสารถึงความทันสมัย หลังจากเมื่อปี 2545 บริษัทได้นำ ป้าจุ๊ มาพรีเซ็นเตอร์ อีกทั้งได้เตรียมจัดกิจกรรมโรดโชว์ สื่อโฆษณาทางสิ่งพิมพ์ นิตยสาร เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง หลังจากที่ผ่านมาเฮโม-วิต ขาดการสื่อสาร ทำให้แบรนด์ไม่เป็นที่รู้จักสำหรับคนรุ่นใหม่
พร้อมกันนี้ ยังวางแผนเปิดตัวเฮโม-วิต สำหรับกิน 1 เม็ด ปลายเดือนมกราคม นี้ และเตรียมส่งชนิดน้ำสู่ตลาด จากเมื่อปีที่ผ่านมาบริษัทเปิดตัวเฮโม-วิต สำหรับเด็ก ทั้งนี้ เพื่อให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ส่วนด้านช่องทางจำหน่ายยังไม่มีแผนขยาย จากปัจจุบันจำหน่ายผ่านช่องทางร้านขายยาเป็นหลัก ซึ่งหากแบรนด์มีความแข็งแกร่ง และสามารถขึ้นทะเบียนจากยามาเป็นอาหาร บริษัทวางขยายช่องทางร้านค้าสะดวกซื้อ
ภาวะตลาดวิตามินมูลค่า 8,000 ล้านบาท ในปีนี้คาดว่า เติบโต 5% เนื่องจากผลพวงจากเศรษฐกิจถดถอย ผู้บริโภคมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้ โดยเฉพาะวิตามินที่มีราคาสูง คาดว่า จะได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม จากปกติหากสภาพเศรษฐกิจดี ตลาดวิตามินเติบโต 10% สำหรับพฤติกรรมการของผู้บริโภค มีแนวโน้มว่ากินวิตามินเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพราะมีความใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
นายปิติ กล่าวว่า บริษัทยังได้ทุ่มงบ 3-4 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 20% เพื่อรองรับการเติบโต และจากการรีแบรนดิ้งในครั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้กลุ่มเฮโม-วิต มีอัตราการเติบโต 10% เมื่อเทียบกับช่วงหลายปีที่ผ่านมา เฮโม-วิต เติบโต 3-4% โดยมาจากการขยายฐานกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นสัดส่วน 50% และกลุ่มเป้าหมายเดิมอายุ 40 ปีขึ้นไป สัดส่วน 50%
