ซีพีเอ็น มั่นใจเศรษฐกิจเริ่มไปในทิศทางที่ดี ยัน รัฐบาลแอกทีฟ มีมาตรการกระตุ้นเต็มที่ ส่งสัญญาณที่ดี มั่นใจลงทุนต่อเนื่อง คาด ปีนี้เปิดอีก 2 สาขา ที่ชลบุรี และขอนแก่น
นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น เปิดเผยว่า จากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐบาลที่ออกมากระตุ้นภาวะเศรษฐกิจ คาดว่า จะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้ดีขึ้น รวมทั้งกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเร่งรัดการลงทุน ซึ่งล่าสุด ก็สามารถสรุปการประมูลระบบรถไฟฟ้าใต้ดินสายใหม่ได้แล้ว แม้ว่าจะยังไม่ได้ส่งผลต่อเม็ดเงินที่สะพัดทันที แต่ก็ทำให้เกิดความมั่นใจต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของนักลงทุนต่างชาติ และคนไทย
ขณะที่การเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ผ่านมา ที่รัฐบาลได้คะแนนเสียง ส.ส.เข้ามาเพิ่มอีก ก็ยิ่งทำให้ศักยภาพของรัฐบาลมีมากขึ้น มีความมั่นคงมากขึ้น
นายกอบชัย กล่าวต่อว่า จากนี้รัฐบาลคงจะต้องทำอีกหลายอย่าง เพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนต่อไปได้ดี เช่น กรณีการตั้งงบกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่า 1 แสนล้านบาทนั้น ก็เป็นเรื่องที่ดี การประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้เงินสะพัดมีสภาพคล่องมากขึ้น ทำงานร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อกระตุ้นระบบตลาดหุ้นและฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุนเต็มที่และต่อเนื่อง
“ผมคาดว่า เศรษฐกิจประเทศไทยปีนี้คงไม่ติดลบ อย่างน้อยก็คงจะเติบโต 2-3% เพราะว่าภาครัฐมีความแอกทีฟมากขึ้น การลงทุนคล่องตัวขึ้น ตอนนี้เริ่มต้นเห็นชัดแล้ว” นายกอบชัยกล่าว
นโยบายการลงทุนของซีพีเอ็นนั้น นายกอบชัย กล่าวว่า ซีพีเอ็นยังมีความเชื่อมั่นระบบเศรษฐกิจระยะยาวของประเทศไทย ที่ยังดีอยู่ จึงยังคงลงทุนต่อเนื่องไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งในปีนี้ คาดว่า จะใช้งบประมาณลงทุนต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า 5,000-6,000 ล้านบาท คือ โครงการที่ชลบุรี 2,000 ล้านบาท, โครงการที่ ขอนแก่น 3,000 ล้านบาท ส่วนโครงการที่เซ็นทรัลพัทยาบีช ลงทุน 7,000 ล้านบาท ก่อสร้างเสร็จแล้วจะเปิดบริการวันที่ 2 มกราคมนี้ เป็นทางการ โดยปีนี้ ซีพีเอ็น มั่นใจว่า จะมีผลประกอบการเพิ่มขึ้นประมาณ 20% จากปีที่แล้วที่มีรายได้ประมาณ 10,000 กว่าล้านบาท เนื่องจากมี 4 สาขาที่เปิดใหม่ คือ แจ้งวัฒนะ ปลายปีที่แล้ว และล่าสุด ที่ พัทยา หลังจากที่ก่อสร้างนานกว่า 4 ปีแล้ว และปีนี้อีกที่ ขอนแก่น กับ ชลบุรี จะเปิดปลายปี
สำหรับโครงการ ที่ พัทยา สาเหตุที่ลงทุน เพราะมองว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ชาวต่างชาติรู้จักมากที่สุดรองจากกรุงเทพฯ และเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมาก และไม่ใช่เป็นเมืองที่มีความเสี่ยงแต่อย่างใด แต่เป็นศูนย์กลางทุกด้านของภาคตะวันออก ทั้งด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว บริการระดับประเทศ การคมนาคม การสื่อสาร การขยายตัวทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง มีกลุ่มนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติจำนวนมาก มีศักยภาพพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับพรีเมียมของเมืองไทยได้ และเป็นเมืองที่มีกำลังซื้อมากเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ ซึ่งมาจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศกว่า 5 ล้านคนต่อปี อีกทั้งยังไม่มีคู่แข่งในระดับเดียวกันในรัศมี 80 กิโลเมตร
ทั้งนี้ เซ็นทรัลเฟสติวัลพัทยาบีช ลงทุน 7,000 ล้านบาท พื้นที่ 22 ไร่ ติดถนนหลัก ด้านหน้าติดถนนเลียบชายหาดขนาด 3 เลน ด้านหลังติดถนนพัทยาสาย 2 ขนาด 4 เลน ด้านข้างติดถนนพัทยาซอย 9 อีก 4 เลน เป็นศูนย์การค้าแห่งเดียวในไทยที่อยู่ติดหาดธรรมชาติด้วยหน้ากว้าง 111 เมตร มีพื้นที่การค้า 240,000 ตารางเมตร ในรูปแบบรีสอร์ตสไตล์ผสมกับซิตีอย่างลงตัว และโรงแรมขนาด 300 ห้อง ระดับ 5 ดาว ได้กลุ่มฮิลตันมาบริหาร จะเปืดปีหน้า และมีร้านค้ามากกว่า 200 ร้านค้า
กลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการ คือ ผู้อยู่อาศัยกว่า 1.6 ล้านคน ทั้งคนไทย ต่างชาติ (Expat) ที่เป็นนักท่องเที่ยวกว่า 6 ล้านคนต่อปี ตั้งเป้าดึงคนเข้าศูนย์กว่า 100,000 คนต่อวัน ชุมชนโดยรอบโครงการ ประกอบด้วย โรงแรมระดับ 5 ดาว 383 แห่ง สถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งบันเทิงที่มีชื่อเสียง 52 แห่ง สถานศึกษาทุกระดับ 33 แห่ง
โดยทั้งปีนี้บริษัทเตรียมงบการตลาดรวมไว้ 100 ล้านบาท เพื่อจัดทำอีเวนต์ขนาดใหญ่และมากขึ้น โดย 50 ล้านบาท จะถูกนำมาใช้กับเฉพาะสาขา ที่ พัทยา นี้ ทั้ง แมสมีเดีย และสื่ออินสโตร์ ซึ่งช่วงเปิดตัวจะมีกิจกรรมใหญ่ๆ หลายอย่าง เช่น งานพัทยาอินเตอร์เนชันแนลมาร์ดิกราส์ งานขบวนอิเลกทรอนิกส์พาเหรดครั้งแรกในพัทยา เป็นต้น
นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น เปิดเผยว่า จากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐบาลที่ออกมากระตุ้นภาวะเศรษฐกิจ คาดว่า จะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้ดีขึ้น รวมทั้งกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเร่งรัดการลงทุน ซึ่งล่าสุด ก็สามารถสรุปการประมูลระบบรถไฟฟ้าใต้ดินสายใหม่ได้แล้ว แม้ว่าจะยังไม่ได้ส่งผลต่อเม็ดเงินที่สะพัดทันที แต่ก็ทำให้เกิดความมั่นใจต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของนักลงทุนต่างชาติ และคนไทย
ขณะที่การเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ผ่านมา ที่รัฐบาลได้คะแนนเสียง ส.ส.เข้ามาเพิ่มอีก ก็ยิ่งทำให้ศักยภาพของรัฐบาลมีมากขึ้น มีความมั่นคงมากขึ้น
นายกอบชัย กล่าวต่อว่า จากนี้รัฐบาลคงจะต้องทำอีกหลายอย่าง เพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนต่อไปได้ดี เช่น กรณีการตั้งงบกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่า 1 แสนล้านบาทนั้น ก็เป็นเรื่องที่ดี การประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้เงินสะพัดมีสภาพคล่องมากขึ้น ทำงานร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อกระตุ้นระบบตลาดหุ้นและฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุนเต็มที่และต่อเนื่อง
“ผมคาดว่า เศรษฐกิจประเทศไทยปีนี้คงไม่ติดลบ อย่างน้อยก็คงจะเติบโต 2-3% เพราะว่าภาครัฐมีความแอกทีฟมากขึ้น การลงทุนคล่องตัวขึ้น ตอนนี้เริ่มต้นเห็นชัดแล้ว” นายกอบชัยกล่าว
นโยบายการลงทุนของซีพีเอ็นนั้น นายกอบชัย กล่าวว่า ซีพีเอ็นยังมีความเชื่อมั่นระบบเศรษฐกิจระยะยาวของประเทศไทย ที่ยังดีอยู่ จึงยังคงลงทุนต่อเนื่องไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งในปีนี้ คาดว่า จะใช้งบประมาณลงทุนต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า 5,000-6,000 ล้านบาท คือ โครงการที่ชลบุรี 2,000 ล้านบาท, โครงการที่ ขอนแก่น 3,000 ล้านบาท ส่วนโครงการที่เซ็นทรัลพัทยาบีช ลงทุน 7,000 ล้านบาท ก่อสร้างเสร็จแล้วจะเปิดบริการวันที่ 2 มกราคมนี้ เป็นทางการ โดยปีนี้ ซีพีเอ็น มั่นใจว่า จะมีผลประกอบการเพิ่มขึ้นประมาณ 20% จากปีที่แล้วที่มีรายได้ประมาณ 10,000 กว่าล้านบาท เนื่องจากมี 4 สาขาที่เปิดใหม่ คือ แจ้งวัฒนะ ปลายปีที่แล้ว และล่าสุด ที่ พัทยา หลังจากที่ก่อสร้างนานกว่า 4 ปีแล้ว และปีนี้อีกที่ ขอนแก่น กับ ชลบุรี จะเปิดปลายปี
สำหรับโครงการ ที่ พัทยา สาเหตุที่ลงทุน เพราะมองว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ชาวต่างชาติรู้จักมากที่สุดรองจากกรุงเทพฯ และเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมาก และไม่ใช่เป็นเมืองที่มีความเสี่ยงแต่อย่างใด แต่เป็นศูนย์กลางทุกด้านของภาคตะวันออก ทั้งด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว บริการระดับประเทศ การคมนาคม การสื่อสาร การขยายตัวทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง มีกลุ่มนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติจำนวนมาก มีศักยภาพพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับพรีเมียมของเมืองไทยได้ และเป็นเมืองที่มีกำลังซื้อมากเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ ซึ่งมาจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศกว่า 5 ล้านคนต่อปี อีกทั้งยังไม่มีคู่แข่งในระดับเดียวกันในรัศมี 80 กิโลเมตร
ทั้งนี้ เซ็นทรัลเฟสติวัลพัทยาบีช ลงทุน 7,000 ล้านบาท พื้นที่ 22 ไร่ ติดถนนหลัก ด้านหน้าติดถนนเลียบชายหาดขนาด 3 เลน ด้านหลังติดถนนพัทยาสาย 2 ขนาด 4 เลน ด้านข้างติดถนนพัทยาซอย 9 อีก 4 เลน เป็นศูนย์การค้าแห่งเดียวในไทยที่อยู่ติดหาดธรรมชาติด้วยหน้ากว้าง 111 เมตร มีพื้นที่การค้า 240,000 ตารางเมตร ในรูปแบบรีสอร์ตสไตล์ผสมกับซิตีอย่างลงตัว และโรงแรมขนาด 300 ห้อง ระดับ 5 ดาว ได้กลุ่มฮิลตันมาบริหาร จะเปืดปีหน้า และมีร้านค้ามากกว่า 200 ร้านค้า
กลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการ คือ ผู้อยู่อาศัยกว่า 1.6 ล้านคน ทั้งคนไทย ต่างชาติ (Expat) ที่เป็นนักท่องเที่ยวกว่า 6 ล้านคนต่อปี ตั้งเป้าดึงคนเข้าศูนย์กว่า 100,000 คนต่อวัน ชุมชนโดยรอบโครงการ ประกอบด้วย โรงแรมระดับ 5 ดาว 383 แห่ง สถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งบันเทิงที่มีชื่อเสียง 52 แห่ง สถานศึกษาทุกระดับ 33 แห่ง
โดยทั้งปีนี้บริษัทเตรียมงบการตลาดรวมไว้ 100 ล้านบาท เพื่อจัดทำอีเวนต์ขนาดใหญ่และมากขึ้น โดย 50 ล้านบาท จะถูกนำมาใช้กับเฉพาะสาขา ที่ พัทยา นี้ ทั้ง แมสมีเดีย และสื่ออินสโตร์ ซึ่งช่วงเปิดตัวจะมีกิจกรรมใหญ่ๆ หลายอย่าง เช่น งานพัทยาอินเตอร์เนชันแนลมาร์ดิกราส์ งานขบวนอิเลกทรอนิกส์พาเหรดครั้งแรกในพัทยา เป็นต้น