ชงบอร์ดบีทีเอส ไฟเขียวอนุมัติการลงทุนอสังริมทรัพย์ 3-4 โปรเจกต์ ผุดโรงแรมและคอนโดมิเนียมติดสถานีรถไฟฟ้า มูลค่า 4 หมื่นล้านบาท และตั้งบริษัทร่วมทุนกับบีเอ็มซีแอลทำตั๋วร่วมในวันที่ 9 ธ.ค.นี้ โดยบริษัทเตรียมขายหุ้นกู้สกุลบาท วงเงินไม่เกิน 2หมื่นล้านบาทใน ก.พ.52 เพื่อชำระหนี้เดิมและลงทุนอสังริมทรัพย์ ลุ้นเข็นบีทีเอสเข้าตลาดหุ้นไตรมาส 2 นี้หากภาวะตลาดหุ้นไม่ดีคงเลื่อนไปเป็นไตรมาส 3/52แทน
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการและผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)(บีทีเอส) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันที่ 9 ธ.ค.นี้จะมีการพิจารณาอนุมัติแผนการลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า และการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบีเอ็มซีแอล เพื่อจัดทำตั๋วร่วม ซึ่งการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น เบื้องต้นจะให้บีทีเอสเป็นผู้ลงทุนก่อนหลังจากนั้นจะตั้งบริษัทลูกขึ้นมาทำธุรกิจแทน
ทั้งนี้ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์นั้น บริษัทได้มีการเจรจากับเจ้าของพื้นที่ หรือโครงการอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งจะเสนอบอร์ดอนุมัติการลงทุน 3-4 โครงการ อาทิ โครงการคอนโดมิเนียมและโรงแรม ใช้เงินลงทุนประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าวนี้มีทั้งต้นก่อสร้างเอง และอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างอยู่ คาดว่า จะบริษัทจะรับรู้รายได้จากการลงทุนใน 3 ปีข้างหน้า ซึ่งสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงนั้นน่าจะสดใสกว่านี้
สำหรับแหล่งเงินทุนนั้นจะมาจากการออกขายหุ้นกู้บริษัทส่วนหนึ่ง และการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในประเทศ ซึ่งอัตราหนี้สินต่อทุนคงอยู่ที่ 1 ต่อ 1 เท่า เพราะสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันแบงก์ค่อนข้างเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อโครงการอสังหาริมทรัพย์มาก ทำให้วงเงินกู้คงไม่สูงมาก และบริษัทฯมีเงินสดในมืออยู่ 7 พันกว่าล้านบาท
นายสุรพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ตามมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2551 เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้อนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้สกุลเงินบาท ประเภทไม่ด้อยสิทธิ วงเงินไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท เสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป ซึ่งบริษัทฯมีแผนจะออกหุ้นกู้ไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาทเสนอขายในครั้งเดียวในช่วงเดือน ก.พ.2552 หุ้นกู้อายุไม่น้อยกว่า 5ปี ซึ่งจะหารือกับบริษัทรับประกันการจำหน่าย (อันเดอร์ไรเตอร์) จะมีการแต่งตั้ง 2 ราย เป็นสถาบันการเงินในและต่างประเทศที่มีสาขาในไทยอย่างละแห่ง ซึ่งวัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ หากบริษัทฯขายหุ้นกู้ได้ครบวงเงิน 2 หมื่นล้านบาท ก็จะนำมาชำระคืนหนี้เงินกู้เดิม 1 หมื่นล้านบาท และที่เหลือจะใช้ลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่อไป
ส่วนความคืบหน้าในการนำบีทีเอสเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นได้อนุมัติการนำบริษัทฯเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 4,800 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 16,236.51 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 21,036.51 ล้านบาท โดยจะออกหุ้นสามัญใหม่ 4,800 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อสนอขายให้ประชาชนทั่วไป (ไอพีโอ) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นทำไฟลิ่ง คาดว่าจะเสนอขายหุ้นไอพีโอได้ไตรมาส 2/2552
อย่างไรก็ตาม หากภาวะตลาดหุ้นไทยไม่เอื้ออำนวย ก็อาจจะเลื่อนการเข้าตลาดหุ้นออกไปเป็นไตรมาส 3 แทน ซึ่งเชื่อว่า ราคาหุ้นบีทีเอสน่าจะสูงกว่าราคามูลค่าตามบัญชีที่อยู่หุ้นละ 3-4 บาท สำหรับปริมาณหุ้นที่จะเสนอขายไอพีโอนั้นอาจจะมากกว่า 4,800 ล้านหุ้น โดยจะมีหุ้นสามัญจากผู้ถือหุ้นเดิมเสนอขายร่วมด้วย แต่ทั้งนี้ คงต้องรับฟังความคิดเห็นจากที่ปรึกษาทางการเงินก่อน โดยบริษัทฯจะเพิ่มที่ปรึกษาทางการเงินในการขายหุ้นนอกเหนือจากการแต่งตั้งบล.ภัทร ในการขายหุ้นไอพีโอครั้งนี้ เนื่องจากบริษัททำธุรกิจด้านระบบสาธารณูปโภค สัดส่วนการถือหุ้นโดยต่างชาติไม่เกิน 49% ของทุนจดทะเบียน ซึ่งปัจจุบันต่างชาติถือหุ้นบีทีเอสอยู่แล้วประมาณ 40% จึงมีช่องที่ต่างชาติจะเข้ามาถือหุ้นได้เพิ่มเติมอีก
“หากบริษัทออกหุ้นกู้ได้ครบวงเงิน 2 หมื่นล้านบาท การระดมทุนขายหุ้นไอพีโอก็คงไม่จำเป็นต้องระดมทุนมาก แต่ถ้าหากขายหุ้นกู้ได้ไม่ถึง 2 หมื่นล้านบาท คงจะต้องมีการขายหุ้นไอพีโอเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีเงินเพียงพอที่จะลงทุนในอนาคต” นายสุรพงษ์ กล่าว
ความคืบหน้าโครงการส่วนต่อขยายจากสถานีตากสินไปยังวงเวียนใหญ่นั้น ขณะนี้กำลังเจราเรื่องราคาค่าโดยสาร คงต้องรอผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ แต่จากการหารือกับผู้ว่าฯ กทม.คนเดิมอยากให้อยู่ในกรอบค่าบริการเดิม คือ 15-40 บาท/เที่ยว ส่วนการเปิดให้บริการนั้น คาดว่า จะต้องเลื่อนออกไปถึง ส.ค.2552 จากเดิมที่กำหนดว่า เม.ย.2552
ดร.อาณัติ อาภาภิรม กรรมการ บีทีเอส กล่าวว่า บีทีเอสได้เปิดตัว “บัตรสมาชิกหนูด่วนพลัส” ซึ่งเป็นโครงการบัตรสะสมคะแนนสำหรับผู้โดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสที่สมัครสมาชิก โดยผู้สมัครจะได้รับสิทธิประโยชน์ อาทิ คะแนนสะสมเพื่อแลกเป็นคูปองส่วนลดในการเติมมูลค่าการเดินทางในบัตรบีทีเอส สมาร์ทพาส ประเภทเติมเงิน หรือใช้เป็นส่วนลดในการเติมจำนวนเที่ยว รวมทั้งได้รับสิทธิพิศษในการเข้าร่วมกิจกรรมและการส่งเสริมการขายที่บริษัทจัดขึ้น โดยสามารถสมัครสมาชิกผ่านเว็บไซต์ www.nuduan-plus.com ตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป
โครงการดังกล่าวจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในโอกาสที่บีทีเอสให้บริการครบ 9 ปี เพื่อตอบแทนผู้โดยสารให้การอุดหนุน และยังเป็นการขยายฐานลูกค้าใหม่ เชื่อว่า จะทำให้จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าหมายว่าปี 2552 จำนวนผู้โดยสารจะสูงกว่าปีนี้ 4% จากปัจจุบันที่มีจำนวนผู้โดยสารในวันปกติ 4.2 แสนคน/วัน วันอาทิตย์ มีจำนวนผู้โดยสาร 3.8 แสนคน/วัน ซึ่งจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4%
ที่ผ่านมา จำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 10% แต่ในช่วงระยะหลังจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นไม่มาก เนื่องจากพฤติกรรมการใช้รถไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงไป และการพัฒนาอสังริมทรัพย์ฯรอบเส้นทางรถไฟฟ้าชะลอตัวลงเมื่อเทียบจากก่อนหน้านี้ที่มีอัตราการขยายตัวสูง รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงทำให้ ประชาชนเดินทางลดลง แต่เชื่อว่าการเดินทางโดยรถไฟฟ้ายังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนในกรุงเทพฯที่มีการจราจรหนาแน่น
สำหรับการปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารนั้น ปีหน้าบีทีเอสยังไม่มีนโยบายปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารจากปัจจุบันที่จัดเก็บอยู่ 15-40 บาท/เที่ยว ซึ่งเป็นอัตราค่าโดยสารที่ต่ำกว่าเพดานที่กำหนดไว้ตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งกำหนดไว้ที่ 15-45 บาท/เที่ยว สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานประมาณ 2,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5%
ก่อนหน้านี้ ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบีทีเอสเมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังจากบริษัทได้ดึงพันธมิตรเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง ทำการชำระหนี้ได้ตามแผน โดยคงเหลือหนี้อีก 1 หมื่นล้านบาทชำระภายใน 8ปีข้างหน้า ส่งผลให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่บีทีเอสภายหลังการฟื้นฟูกิจการ เป็นดังนี้ คือ 1.กลุ่มนายคีรี กาญจนพาสน์ ถือหุ้นผ่านบริษัท สยามเรลล์ทรานสปอร์ต แอนด์ อินฟราสตรัคเจอร์ จำกัด ถือหุ้นรวม 53.65% 2. กลุ่มคอนซอร์เตียม ระหว่างAshmore Investment Management Limited และNoondays Asset Management ถือหุ้นรวม 38.50% และ3. กลุ่มของดร.เชง ประธานกลุ่มนิวเวิลด์ ฮ่องกง ถือหุ้น 2.67% ลดลงจากเดิมที่กลุ่มนิวเวิลด์ถือหุ้นบีทีเอสเกือบ 20% รวมทั้ง 3 กลุ่มถือหุ้นบีทีเอสทั้งสิ้น 94.82%
ทั้งนี้ Ashmore Investment Management Limited เป็นกองทุนที่เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าของโลก ที่ตั้งอยู่ที่กรุงลอนดอน มีวัตถุประสงค์เพื่อลงทุนในตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก และ Noondays Asset Management เป็นกองทุนเพื่อการลงทุนซึ่งบริหารโดยนูนเดย์ แอสเส็ท แมนเนจเม้นท์ พีทีอี ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ลงทุนที่ตั้งอยู่ในสิงคโปร์
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการและผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)(บีทีเอส) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันที่ 9 ธ.ค.นี้จะมีการพิจารณาอนุมัติแผนการลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า และการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบีเอ็มซีแอล เพื่อจัดทำตั๋วร่วม ซึ่งการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น เบื้องต้นจะให้บีทีเอสเป็นผู้ลงทุนก่อนหลังจากนั้นจะตั้งบริษัทลูกขึ้นมาทำธุรกิจแทน
ทั้งนี้ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์นั้น บริษัทได้มีการเจรจากับเจ้าของพื้นที่ หรือโครงการอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งจะเสนอบอร์ดอนุมัติการลงทุน 3-4 โครงการ อาทิ โครงการคอนโดมิเนียมและโรงแรม ใช้เงินลงทุนประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าวนี้มีทั้งต้นก่อสร้างเอง และอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างอยู่ คาดว่า จะบริษัทจะรับรู้รายได้จากการลงทุนใน 3 ปีข้างหน้า ซึ่งสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงนั้นน่าจะสดใสกว่านี้
สำหรับแหล่งเงินทุนนั้นจะมาจากการออกขายหุ้นกู้บริษัทส่วนหนึ่ง และการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในประเทศ ซึ่งอัตราหนี้สินต่อทุนคงอยู่ที่ 1 ต่อ 1 เท่า เพราะสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันแบงก์ค่อนข้างเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อโครงการอสังหาริมทรัพย์มาก ทำให้วงเงินกู้คงไม่สูงมาก และบริษัทฯมีเงินสดในมืออยู่ 7 พันกว่าล้านบาท
นายสุรพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ตามมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2551 เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้อนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้สกุลเงินบาท ประเภทไม่ด้อยสิทธิ วงเงินไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท เสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป ซึ่งบริษัทฯมีแผนจะออกหุ้นกู้ไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาทเสนอขายในครั้งเดียวในช่วงเดือน ก.พ.2552 หุ้นกู้อายุไม่น้อยกว่า 5ปี ซึ่งจะหารือกับบริษัทรับประกันการจำหน่าย (อันเดอร์ไรเตอร์) จะมีการแต่งตั้ง 2 ราย เป็นสถาบันการเงินในและต่างประเทศที่มีสาขาในไทยอย่างละแห่ง ซึ่งวัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ หากบริษัทฯขายหุ้นกู้ได้ครบวงเงิน 2 หมื่นล้านบาท ก็จะนำมาชำระคืนหนี้เงินกู้เดิม 1 หมื่นล้านบาท และที่เหลือจะใช้ลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่อไป
ส่วนความคืบหน้าในการนำบีทีเอสเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นได้อนุมัติการนำบริษัทฯเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 4,800 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 16,236.51 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 21,036.51 ล้านบาท โดยจะออกหุ้นสามัญใหม่ 4,800 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อสนอขายให้ประชาชนทั่วไป (ไอพีโอ) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นทำไฟลิ่ง คาดว่าจะเสนอขายหุ้นไอพีโอได้ไตรมาส 2/2552
อย่างไรก็ตาม หากภาวะตลาดหุ้นไทยไม่เอื้ออำนวย ก็อาจจะเลื่อนการเข้าตลาดหุ้นออกไปเป็นไตรมาส 3 แทน ซึ่งเชื่อว่า ราคาหุ้นบีทีเอสน่าจะสูงกว่าราคามูลค่าตามบัญชีที่อยู่หุ้นละ 3-4 บาท สำหรับปริมาณหุ้นที่จะเสนอขายไอพีโอนั้นอาจจะมากกว่า 4,800 ล้านหุ้น โดยจะมีหุ้นสามัญจากผู้ถือหุ้นเดิมเสนอขายร่วมด้วย แต่ทั้งนี้ คงต้องรับฟังความคิดเห็นจากที่ปรึกษาทางการเงินก่อน โดยบริษัทฯจะเพิ่มที่ปรึกษาทางการเงินในการขายหุ้นนอกเหนือจากการแต่งตั้งบล.ภัทร ในการขายหุ้นไอพีโอครั้งนี้ เนื่องจากบริษัททำธุรกิจด้านระบบสาธารณูปโภค สัดส่วนการถือหุ้นโดยต่างชาติไม่เกิน 49% ของทุนจดทะเบียน ซึ่งปัจจุบันต่างชาติถือหุ้นบีทีเอสอยู่แล้วประมาณ 40% จึงมีช่องที่ต่างชาติจะเข้ามาถือหุ้นได้เพิ่มเติมอีก
“หากบริษัทออกหุ้นกู้ได้ครบวงเงิน 2 หมื่นล้านบาท การระดมทุนขายหุ้นไอพีโอก็คงไม่จำเป็นต้องระดมทุนมาก แต่ถ้าหากขายหุ้นกู้ได้ไม่ถึง 2 หมื่นล้านบาท คงจะต้องมีการขายหุ้นไอพีโอเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีเงินเพียงพอที่จะลงทุนในอนาคต” นายสุรพงษ์ กล่าว
ความคืบหน้าโครงการส่วนต่อขยายจากสถานีตากสินไปยังวงเวียนใหญ่นั้น ขณะนี้กำลังเจราเรื่องราคาค่าโดยสาร คงต้องรอผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ แต่จากการหารือกับผู้ว่าฯ กทม.คนเดิมอยากให้อยู่ในกรอบค่าบริการเดิม คือ 15-40 บาท/เที่ยว ส่วนการเปิดให้บริการนั้น คาดว่า จะต้องเลื่อนออกไปถึง ส.ค.2552 จากเดิมที่กำหนดว่า เม.ย.2552
ดร.อาณัติ อาภาภิรม กรรมการ บีทีเอส กล่าวว่า บีทีเอสได้เปิดตัว “บัตรสมาชิกหนูด่วนพลัส” ซึ่งเป็นโครงการบัตรสะสมคะแนนสำหรับผู้โดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสที่สมัครสมาชิก โดยผู้สมัครจะได้รับสิทธิประโยชน์ อาทิ คะแนนสะสมเพื่อแลกเป็นคูปองส่วนลดในการเติมมูลค่าการเดินทางในบัตรบีทีเอส สมาร์ทพาส ประเภทเติมเงิน หรือใช้เป็นส่วนลดในการเติมจำนวนเที่ยว รวมทั้งได้รับสิทธิพิศษในการเข้าร่วมกิจกรรมและการส่งเสริมการขายที่บริษัทจัดขึ้น โดยสามารถสมัครสมาชิกผ่านเว็บไซต์ www.nuduan-plus.com ตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป
โครงการดังกล่าวจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในโอกาสที่บีทีเอสให้บริการครบ 9 ปี เพื่อตอบแทนผู้โดยสารให้การอุดหนุน และยังเป็นการขยายฐานลูกค้าใหม่ เชื่อว่า จะทำให้จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าหมายว่าปี 2552 จำนวนผู้โดยสารจะสูงกว่าปีนี้ 4% จากปัจจุบันที่มีจำนวนผู้โดยสารในวันปกติ 4.2 แสนคน/วัน วันอาทิตย์ มีจำนวนผู้โดยสาร 3.8 แสนคน/วัน ซึ่งจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4%
ที่ผ่านมา จำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 10% แต่ในช่วงระยะหลังจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นไม่มาก เนื่องจากพฤติกรรมการใช้รถไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงไป และการพัฒนาอสังริมทรัพย์ฯรอบเส้นทางรถไฟฟ้าชะลอตัวลงเมื่อเทียบจากก่อนหน้านี้ที่มีอัตราการขยายตัวสูง รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงทำให้ ประชาชนเดินทางลดลง แต่เชื่อว่าการเดินทางโดยรถไฟฟ้ายังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนในกรุงเทพฯที่มีการจราจรหนาแน่น
สำหรับการปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารนั้น ปีหน้าบีทีเอสยังไม่มีนโยบายปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารจากปัจจุบันที่จัดเก็บอยู่ 15-40 บาท/เที่ยว ซึ่งเป็นอัตราค่าโดยสารที่ต่ำกว่าเพดานที่กำหนดไว้ตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งกำหนดไว้ที่ 15-45 บาท/เที่ยว สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานประมาณ 2,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5%
ก่อนหน้านี้ ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบีทีเอสเมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังจากบริษัทได้ดึงพันธมิตรเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง ทำการชำระหนี้ได้ตามแผน โดยคงเหลือหนี้อีก 1 หมื่นล้านบาทชำระภายใน 8ปีข้างหน้า ส่งผลให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่บีทีเอสภายหลังการฟื้นฟูกิจการ เป็นดังนี้ คือ 1.กลุ่มนายคีรี กาญจนพาสน์ ถือหุ้นผ่านบริษัท สยามเรลล์ทรานสปอร์ต แอนด์ อินฟราสตรัคเจอร์ จำกัด ถือหุ้นรวม 53.65% 2. กลุ่มคอนซอร์เตียม ระหว่างAshmore Investment Management Limited และNoondays Asset Management ถือหุ้นรวม 38.50% และ3. กลุ่มของดร.เชง ประธานกลุ่มนิวเวิลด์ ฮ่องกง ถือหุ้น 2.67% ลดลงจากเดิมที่กลุ่มนิวเวิลด์ถือหุ้นบีทีเอสเกือบ 20% รวมทั้ง 3 กลุ่มถือหุ้นบีทีเอสทั้งสิ้น 94.82%
ทั้งนี้ Ashmore Investment Management Limited เป็นกองทุนที่เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าของโลก ที่ตั้งอยู่ที่กรุงลอนดอน มีวัตถุประสงค์เพื่อลงทุนในตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก และ Noondays Asset Management เป็นกองทุนเพื่อการลงทุนซึ่งบริหารโดยนูนเดย์ แอสเส็ท แมนเนจเม้นท์ พีทีอี ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ลงทุนที่ตั้งอยู่ในสิงคโปร์