ไมเนอร์ ขอเวลาชั่งใจ เหตุวิกฤตการเมือง และเศรษฐกิจโลก ปัจจัยหลักกระทบธุรกิจโรงแรม คาดไตรมาสแรกปีหน้าจึงฟันธงโยนงบ 3,800 ล้านบาทลงทุนต่อหรือไม่ ยอมรับทำธุรกิจแบบประคองตัว ลดต้นทุน เพื่อให้เกิดกำไรสูงสุด ส่วนธุรกิจอาหารในประเทศจีน ปีหน้าเตรียมทบทวนปรับแผน หลังขาดทุนต่อเนื่อง พร้อมใช้วิกฤตเป็นโอกาส ช้อปปิ้งของถูกทั้งพื้นที่เช่า โรงแรม ที่ดิน ระบุใช้เงินสดในมือเทคโอเวอร์กิจการ คุย 3 ไตรมาส ผลประกอบการยังโตต่อเนื่อง 40% มีกำไรสุทธิ 1,477 ล้านบาท
นางปรารถนา มงคลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการเงิน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาสถานการณ์ผลกระทบที่เกิดจากวิกฤตทางการเงินของสหรัฐ ว่าจะกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวมากน้อยเพียงใด เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนในปีหน้า โดยคาดว่าจะสรุปได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2552 โดยแผนปีหน้า ตั้งงบลงทุนเฉพาะธุรกิจโรงแรมไว้ที่ 3,800 ล้านบาท เพื่อใช้ก่อสร้างและปรับปรุงโรงแรม จากภาพรวมทั้งกรุ๊ป ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 5,000 ล้านบาท โดยส่วนที่เหลือจะเป็นการลงทุนในธุรกิจอาหาร อย่างไรก็ตามถึงขณะนี้บริษัทยังคงไม่ได้ปรับเปลี่ยนแผนดำเนินงาน 5 ปี นับจากนี้ ที่ตั้งเป้าลงทุนไว้ที่ 17,000 ล้านบาท
"ยอมรับว่ามีความกังวลกับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ที่จะกระทบต่อธุรกิจโรงแรม แต่คงไม่มากนัก เพราะมอง 2 ปัจจัยบวกสำคัญ คือ คนยุโรปและอเมริกา แม้ตกงาน ก็ยังมีเงินสวัสดิการเลี้ยงชีพจากภาครัฐ ก็ยังสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้เพราะเชื่อว่า เขายังให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งคือ เมื่อเทียบค่าใช้จ่ายในประเทศไทย ถือว่า คุ้มค่าเงิน หรือแวลู ฟอร์มันนี่ จึงเชื่อว่าไทยยังเป็นเดสติเนชั่นที่นักท่องเที่ยวจะตัดสินใจเดินทางมา และบริษัทยังมีโรงแรมในต่างประเทศทั้งลงทุนเองและรับบริหารอีกหลายแห่ง"
ในส่วนนของธุรกิจโรงแรม จะไม่เน้นการเติบโตด้านรายได้ แต่ให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนบริหารจัดการเพื่อให้ธุรกิจมีกำไรเพิ่มขึ้น เช่น งดรับพนักงานใหม่ ลดโปรแกรมอบรมบุคคลากร และดูงาน นอกจากนั้น มีความเป็นไปได้ ที่ บริษัท จะสามารถมีรายได้จากราคาห้องพักเพิ่มอีกราว ห้องละ 5-10% ขึ้นอยู่กับโลเกชั่น และดีมานด์ ซัพพลาย โดยลูกค้าหลักของโรงแรมในกลุ่มของไมเนอร์ เป็นระดับ 4-5 ดาว เน้นลูกค้ากลุ่มผู้บริหาร
สำหรับธุรกิจอาหาร ไม่หนักใจ มีการเติบโตที่ดีและต่อเนื่อง เฉพาะไตรมาส 3 โตกว่า 40% มาจากการเพิ่มสาขา และเพิ่มแบรนด์ ไทยเอ็กซ์เพรส ในประเทศสิงคโปร์ ยกเว้นการลงทุนในประเทศจีน ซึ่งขณะนี้เตรียมเข้าสู่ปีที่ 3 แต่ผลประกอบการยังขาดทุนต่อเนื่อง ปีก่อนขาดทุนรวม 160 ล้านบาท ปีนี้ไตรมาสแรกขาดทุน 90 ล้านบาท และไตรมาส 3 ขาดทุน 45 ล้านบาท ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าในปีหน้า บริษัทจะมีการทบทวนเพื่อปรับแผนการลงทุนในประเทศจีน ทั้งนี้เกือบทุกธุรกิจอาหารที่เข้าไปลงทุนในจีน ช่วงแรกจะขาดทุนเกือบทุกบริษัท บางรายต่อเนื่องเป็น 10 ปี เพราะแข่งขันสูง ซึ่งบริษัทเชื่อว่า เรายังสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ แต่ต้องปรับแผนให้เหมาะกับตลาด โดยปัจจุบันเน้นลงทุนเองในกรุงปักกิ่ง นอกนั้นเน้นขายแฟรนไชส์
นางปรารถนา กล่าวถึงผลประกอบการบริษัท ว่า ไตรมาส 3 ปี 2551 มีรายได้ 4,119 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 25% ส่วนภาพรวม 3 ไตรมาส มีรายได้ 12,326 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 22% โดย 55% เป็นรายได้ที่มาจากธุรกิจอาหาร โดย ไตรมาส 3 บริษัทมีกำไรสุทธิ 376 ล้านบาท โตจากปีก่อน 1% ส่วนภาพรวม 3 ไตรมาส มีกำไร 1,477 ล้านบาท เติบโต 40% กำไรที่โตน้อยในไตรมาส 3 เพราะ ธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมือง โดยเฉพาะในเดือนกันยายน ที่มีประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และปิดสนามบิน ทำให้อัตราเข้าพักลงลงกว่า 20-25% โดยเฉพาะ โฟร์ซีซั่น กรุงเทพ และ เจดับบลิว แมริออท ภูเก็ต โดยปีหน้าหากสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจทรงตัว อัตราเข้าพักโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์ฯจะอยู่ราว 73% ถ้าสถานการณ์ดีจะขึ้นไปถึง 78% ส่วนรายได้ของไมเนอร์กรุ๊ป ถ้าสถานการณ์ไม่เปลี่ยนแปลงจะเติบโตจากปีนี้ 12-15% ถ้าดีขึ้นจะโตได้มากกว่า 15%
อย่างไรก็ตาม สถานะการเงินของบริษัทแข็งแกร่งสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา โดยมีทรัพย์สินกว่า 23,919 ล้านบาท ดังนั้นการลงทุนของบริษัทขณะนี้ส่วนใหญ่ใช้เงินสด และ เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ ส่วนเงินลงทุนที่สถาบันการเงินอนุมัติให้กู้กว่า 3,000 ล้านบาท ยังไม่ได้เบิกออกมาใช้ ทำให้มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.63 ดังนั้น ในวิกฤตยังเป็นโอกาส โดยบริษัท สามารถเข้าซื้อกิจการหรือทำเลดีๆตามศูนย์การค้ามาขยายสาขาเพิ่มเติม และซื้อโรงแรมหรือที่ดิน ที่เจ้าของกิจการประกาศขายในราคาไม่แพง ล่าสุดอยู่ระหว่างพิจารณาซื้อแบรนด์ร้านอาหารในต่างประเทศมาบริหาร คาดไตรมาส 2 ปีหน้าตัดสินใจ
นางปรารถนา มงคลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการเงิน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาสถานการณ์ผลกระทบที่เกิดจากวิกฤตทางการเงินของสหรัฐ ว่าจะกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวมากน้อยเพียงใด เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนในปีหน้า โดยคาดว่าจะสรุปได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2552 โดยแผนปีหน้า ตั้งงบลงทุนเฉพาะธุรกิจโรงแรมไว้ที่ 3,800 ล้านบาท เพื่อใช้ก่อสร้างและปรับปรุงโรงแรม จากภาพรวมทั้งกรุ๊ป ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 5,000 ล้านบาท โดยส่วนที่เหลือจะเป็นการลงทุนในธุรกิจอาหาร อย่างไรก็ตามถึงขณะนี้บริษัทยังคงไม่ได้ปรับเปลี่ยนแผนดำเนินงาน 5 ปี นับจากนี้ ที่ตั้งเป้าลงทุนไว้ที่ 17,000 ล้านบาท
"ยอมรับว่ามีความกังวลกับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ที่จะกระทบต่อธุรกิจโรงแรม แต่คงไม่มากนัก เพราะมอง 2 ปัจจัยบวกสำคัญ คือ คนยุโรปและอเมริกา แม้ตกงาน ก็ยังมีเงินสวัสดิการเลี้ยงชีพจากภาครัฐ ก็ยังสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้เพราะเชื่อว่า เขายังให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งคือ เมื่อเทียบค่าใช้จ่ายในประเทศไทย ถือว่า คุ้มค่าเงิน หรือแวลู ฟอร์มันนี่ จึงเชื่อว่าไทยยังเป็นเดสติเนชั่นที่นักท่องเที่ยวจะตัดสินใจเดินทางมา และบริษัทยังมีโรงแรมในต่างประเทศทั้งลงทุนเองและรับบริหารอีกหลายแห่ง"
ในส่วนนของธุรกิจโรงแรม จะไม่เน้นการเติบโตด้านรายได้ แต่ให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนบริหารจัดการเพื่อให้ธุรกิจมีกำไรเพิ่มขึ้น เช่น งดรับพนักงานใหม่ ลดโปรแกรมอบรมบุคคลากร และดูงาน นอกจากนั้น มีความเป็นไปได้ ที่ บริษัท จะสามารถมีรายได้จากราคาห้องพักเพิ่มอีกราว ห้องละ 5-10% ขึ้นอยู่กับโลเกชั่น และดีมานด์ ซัพพลาย โดยลูกค้าหลักของโรงแรมในกลุ่มของไมเนอร์ เป็นระดับ 4-5 ดาว เน้นลูกค้ากลุ่มผู้บริหาร
สำหรับธุรกิจอาหาร ไม่หนักใจ มีการเติบโตที่ดีและต่อเนื่อง เฉพาะไตรมาส 3 โตกว่า 40% มาจากการเพิ่มสาขา และเพิ่มแบรนด์ ไทยเอ็กซ์เพรส ในประเทศสิงคโปร์ ยกเว้นการลงทุนในประเทศจีน ซึ่งขณะนี้เตรียมเข้าสู่ปีที่ 3 แต่ผลประกอบการยังขาดทุนต่อเนื่อง ปีก่อนขาดทุนรวม 160 ล้านบาท ปีนี้ไตรมาสแรกขาดทุน 90 ล้านบาท และไตรมาส 3 ขาดทุน 45 ล้านบาท ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าในปีหน้า บริษัทจะมีการทบทวนเพื่อปรับแผนการลงทุนในประเทศจีน ทั้งนี้เกือบทุกธุรกิจอาหารที่เข้าไปลงทุนในจีน ช่วงแรกจะขาดทุนเกือบทุกบริษัท บางรายต่อเนื่องเป็น 10 ปี เพราะแข่งขันสูง ซึ่งบริษัทเชื่อว่า เรายังสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ แต่ต้องปรับแผนให้เหมาะกับตลาด โดยปัจจุบันเน้นลงทุนเองในกรุงปักกิ่ง นอกนั้นเน้นขายแฟรนไชส์
นางปรารถนา กล่าวถึงผลประกอบการบริษัท ว่า ไตรมาส 3 ปี 2551 มีรายได้ 4,119 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 25% ส่วนภาพรวม 3 ไตรมาส มีรายได้ 12,326 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 22% โดย 55% เป็นรายได้ที่มาจากธุรกิจอาหาร โดย ไตรมาส 3 บริษัทมีกำไรสุทธิ 376 ล้านบาท โตจากปีก่อน 1% ส่วนภาพรวม 3 ไตรมาส มีกำไร 1,477 ล้านบาท เติบโต 40% กำไรที่โตน้อยในไตรมาส 3 เพราะ ธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมือง โดยเฉพาะในเดือนกันยายน ที่มีประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และปิดสนามบิน ทำให้อัตราเข้าพักลงลงกว่า 20-25% โดยเฉพาะ โฟร์ซีซั่น กรุงเทพ และ เจดับบลิว แมริออท ภูเก็ต โดยปีหน้าหากสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจทรงตัว อัตราเข้าพักโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์ฯจะอยู่ราว 73% ถ้าสถานการณ์ดีจะขึ้นไปถึง 78% ส่วนรายได้ของไมเนอร์กรุ๊ป ถ้าสถานการณ์ไม่เปลี่ยนแปลงจะเติบโตจากปีนี้ 12-15% ถ้าดีขึ้นจะโตได้มากกว่า 15%
อย่างไรก็ตาม สถานะการเงินของบริษัทแข็งแกร่งสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา โดยมีทรัพย์สินกว่า 23,919 ล้านบาท ดังนั้นการลงทุนของบริษัทขณะนี้ส่วนใหญ่ใช้เงินสด และ เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ ส่วนเงินลงทุนที่สถาบันการเงินอนุมัติให้กู้กว่า 3,000 ล้านบาท ยังไม่ได้เบิกออกมาใช้ ทำให้มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.63 ดังนั้น ในวิกฤตยังเป็นโอกาส โดยบริษัท สามารถเข้าซื้อกิจการหรือทำเลดีๆตามศูนย์การค้ามาขยายสาขาเพิ่มเติม และซื้อโรงแรมหรือที่ดิน ที่เจ้าของกิจการประกาศขายในราคาไม่แพง ล่าสุดอยู่ระหว่างพิจารณาซื้อแบรนด์ร้านอาหารในต่างประเทศมาบริหาร คาดไตรมาส 2 ปีหน้าตัดสินใจ