xs
xsm
sm
md
lg

จับโกหก ปตท.สุมหัว รบ.มือเปื้อนเลือด สูบกำไร LPG บนหลัง ปชช.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้บริหาร ปตท.ยอมรับ ราคาน้ำมันผันผวน ส่งผลกำไรหดวูบ เล็งฟาดเงินชดเชยค่าก๊าซ LPG หลังมติ ครม.ทายาทอสูร ไฟเขียวขึ้นราคาก๊าซในภาคขนส่ง พร้อมรีดภาษีเงินกองทุนน้ำมัน เตรียมจ่ายชดเชยค่านำเข้าก๊าซ LPG อ้างยังมีการนำเข้าถึงเดือนละ 8 หมื่นตัน

วันนี้ (22 ต.ค.) นายเทวินทร์ วงศ์วานิช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลยุทธ์และพัฒนาองค์กร บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นจะได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา และอาจทำให้ผลประกอบการขาดทุนจากการสต๊อกน้ำมันได้ หลังจากที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ล่าสุด อยู่ที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกเม็ดพลาสติกของกลุ่มบริษัทในเครือ ปตท.อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากที่ความต้องการสินค้าชะลอตัวลง

นายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้น และก๊าซธรรมชาติ ปตท.คาดการณ์ว่า ในปีนี้ความต้องการใช้ก๊าซเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3.5 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วประมาณ 10% ซึ่งเป็นการเติบโตตามทิทางในภาคอุตสาหกรรม และการขยายขีดความสามารถของท่อส่งก๊าซธรรมชาติ

“คาดว่า ปีนี้ไทยจะใช้ก๊าซเฉลี่ยอยู่ที่ 3,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่วนในปีหน้าการใช้จะลดลงประมาณ 5-7% จากที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะโต 10%”

นายจิตรพงษ์ ระบุว่า จากการตรวจสอบล่าสุด พบว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้า ได้ลดลงกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ขณะที่ก๊าซธรรมชาติ เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าของประเทศ

**ปตท.คาดนำเข้า LPG เพิ่ม 4 หมื่นตัน/เดือน

แหล่งข่าวจาก ปตท.ยอมรับว่า แม้ราคาน้ำมันในประเทศจะปรับลดลงต่อเนื่อง แต่ความต้องการใช้ก๊าซแอลพีจีในกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ยังเพิ่มสูงขึ้น โดย ปตท.เปิดเผยว่า การนำเข้าก๊าซแอลพีจีล่าสุด ยังสูงถึง 80,000 ตัน เพื่อสำรองไว้ป้องกันการขาดแคลน และคาดว่า ต้องเพิ่มปริมาณการนำเข้าแอลพีจีอีกเดือนละ 40,000 ตัน ช่วงปลายปีนี้ โดยในปีหน้าไทยยังต้องนำเข้าแอลพีจีเพิ่มถึง 1,000,000 ตัน ขณะที่ราคาขายก๊าซแอลพีจีในประเทศยังถูกกว่าราคาในตลาดโลก ประมาณ 700 ดอลลาร์ต่อตัน

ด้านผู้ประกอบการรถบรรทุกสินค้าภาคอีสาน ได้ปรับลดค่าขนส่งสินค้าลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงเดือน พ.ย.นี้ เป็นช่วงที่ผลผลิตการเกษตรจำนวนมากออกสู่ตลาด จึงเป็นการลดต้นทุนให้กับเกษตรกร ทำให้มีรายได้สูงขึ้น

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการติดตั้งก๊าซแอลพีจี ยอมรับว่า ช่วงนี้ลูกค้าใช้บริการน้อยลงมาก แต่เชื่อว่าการติดตั้งก๊าซแอลพีจีในรถยนต์ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะราคาก๊าซยังถูกกว่าราคาน้ำมันอย่างมาก

**เร่งปรับขึ้นก๊าซ LPG สวนทางราคาน้ำมัน

ก่อนหน้านี้ นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวยอมรับว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้มีมติให้ปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมตามกลไกตลาดโลก แต่ยังให้ตรึงราคาก๊าซหุงต้มสำหรับภาคครัวเรือนอยู่ที่ระดับ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นไปตามมติ ครม.ยุคที่ นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี และเคยเห็นชอบไปแล้วก่อนหน้านี้

โดยหลังจากนี้ กระทรวงพลังงาน จะนำโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้มทั้งหมดเข้าหารือคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มี นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิจารณาในช่วงต้นเดือน พ.ย.นี้

ส่วนจะปรับราคาก๊าซหุงต้มในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมขึ้นไปอัตราที่เท่าใดนั้น มีตัวเลขที่ชัดเจนขณะนี้แล้ว แต่จะต้องพิจารณาให้รอบคอบ ว่า ก๊าซหุงต้มในภาคครัวเรือนที่ตรึงราคาอยู่จะไม่รั่วไหลไปสู่ภาคขนส่งและอุตสาหกรรม รวมถึงการลักลอบก๊าซหุงต้มส่งออกไปตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้านด้วย ซึ่งในส่วนนี้ จะต้องเตรียมความพร้อมและหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมศุลกากร กระทรวงคมนาคม และกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น

สำหรับวิธีที่ป้องกันไม่ให้ก๊าซหุงต้มรั่วไหลไปภาคขนส่งและอุตสาหกรรมนั้น ทางกรมธุรกิจพลังงาน เสนอให้มีการติดตั้งมิเตอร์ที่โรงบรรจุก๊าซหุงต้มที่มีกว่า 400 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งจะทำให้ทราบว่า จะมีปริมาณก๊าซหุงต้มที่ใช้สำหรับภาคครัวเรือนในปริมาณที่เท่าใด หากเกินกว่าตัวเลขที่แจ้งมา แสดงว่าถูกนำไปใช้ในภาคอื่นก็จะมีการเก็บเงินเพิ่มขึ้นเท่ากับอัตราที่ปรับราคาก๊าซหุงต้มและภาคขนส่ง

ทั้งนี้ ในยุคของรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ได้มีการเสนอที่จะให้ปรับราคาก๊าซหุงต้มในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมขึ้นไป 3 แนวทาง โดยให้ทาง กพช.เป็นผู้เลือกว่าจะใช้แนวทางไหน ระหว่างปรับขึ้นไป 1 บาทต่อลิตร 2 บาทต่อลิตร และ 3 บาทต่อลิตร โดย 1 บาทต่อลิตร เท่ากับ 1.70 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งการเสนอครั้งใหม่นี้คาดว่าน่าจะใช้ตัวเลขเดิมเช่นกัน

โดยข้อเสนอดังกล่าว เชื่อว่า รัฐบาลที่มีพรรคพลังประชาชน (พปช.) เป็นแกนนำ จะมีจุดยืนแนวคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับรถแท็กซี่ ซึ่งใช้ก๊าซหุงต้ม เป็นหลัก เพราะเป็นฐานคะแนนหลักของรัฐบาล

นอกจากนี้ หากมีการปรับราคาในอัตราที่มากกว่านี้ ก็เกรงว่า รถแท็กซี่จะหันไปเปลี่ยนติดตั้งก๊าซเอ็นจีวีเพิ่มขึ้น ซึ่งเกรงว่าปั๊มเอ็นจีวีจะรับไม่ไหว เพราะปัจจุบัน ปตท.ได้พับแผนการลงทุน ทำให้มีสถานีบริการเอ็นจีวีไม่เพียงพอ และการขนส่งก๊าซเอ็นจีวี จึงยังไม่มีการลงทุนเพิ่ม ซึ่งเกิดปัญหาร้องเรียนเรื่องการรอคิวนาน และปริมาณก๊าซเอ็นจีวีมีในปั๊ม ไม่เพียงพอต่อการใช้ จึงทำให้ต้องปรับในอัตราที่ต่ำ

นอกจากนี้ รัฐบาลทายาทอสูร ยังมีสัญญาทางใจกับ ปตท.โดยต้องวิ่งหาเงินไปใช้ คือ ให้กับ ปตท.ที่ต้องนำเข้าก๊าซหุงต้มจากต่างประเทศเข้ามา ซึ่งมักอ้างว่า ต้องแบกรับภาระไปแล้วประมาณ 6,300 ล้านบาท และคาดว่า เมื่อถึงสิ้นปีจะเพิ่มขึ้นไปที่ 10,000 ล้านบาท โดยมีการขู่ว่า ปตท.จะไม่แบกรับภาระการนำเข้าอีก หากรัฐบาลไม่มีการจ่ายเงินชดเชย และเป็นสาเหตุของการเรียกเก็บเงินจากกองทุนน้ำมัน

ผู้บริหาร ปตท.ระบุว่า หากรัฐบาลมีเงินมาจ่ายหนี้คืนได้บ้าง ก็จะเป็นผลให้ ปตท.ยังสามารถนำเข้าก๊าซหุงต้มต่อไปได้ ทั้งนี้ หากปรับก๊าซหุงต้มในภาคขนส่งขึ้นไป 1 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้มีเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อส่งคืนแก่ ปตท. ประมาณ 30 ล้านบาทต่อเดือน และหากปรับขึ้น 3 บาท ก็จะทำให้มีเงินเข้ากองทุนน้ำมันประมาณ 90 ล้านบาทต่อเดือน จากปัจจุบันก๊าซหุงต้มจำหน่ายอยู่ที่ 11.50 บาทต่อลิตร

ทั้งนี้ การปรับราคาก๊าซหุงต้มดังกล่าวจะเกิดขึ้นหรือไม่ คงต้องจับตาการประชุม กพช.ว่า จะมีขึ้นได้หรือไม่ รวมถึงรัฐบาลจะเลือกแนวทางใด เพราะหากปรับในอัตราที่สูง อาจจะกระทบต่อฐานคะแนนเสียงได้

**จับตา รบ.ทายาทอสูร จ้องรีดภาษีน้ำมันเอื้อใคร!

นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานจะเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในวันศุกร์ที่ 24 ต.ค.นี้ เพื่อพิจารณาเพิ่มการจัดเก็บเงินที่ได้จากการจำหน่ายน้ำมันเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามมติ ครม.วันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อสำรองไว้ใช้อุดหนุนราคาน้ำมันหลังจากสิ้นสุดโครงการ 6 เดือน 6 มาตรการ เพื่อคนไทยทุกคน และชดเชยรายได้จากการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา

โดยส่วนตัวเห็นว่า จะใช้วิธีการเรียกเก็บเงินเพิ่มในบางผลิตภัณฑ์ที่ยังมีเพดานราคาเหลืออยู่ เช่น แก๊สโซฮอล์, ไบโอดีเซล เป็นต้น เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน ไม่ใช่การขยายเพดานการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ และจะมีการจัดเก็บในช่วงราคาน้ำมันขาลง

ปัจจุบันอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ แต่ละชนิด ได้แก่ เบนซิน 95 อยู่ที่ 4 บาทต่อลิตร, เบนซิน 91 อยู่ที่ 4 บาทต่อลิตร ซึ่งเต็มเพดานที่กำหนดแล้ว ส่วนแก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 1.35 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 0.85 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ อี20 อยู่ที่ 0.30 บาทต่อลิตร, ดีเซล บี2 อยู่ที่ 1.20 บาทต่อลิตร และดีเซล บี 5 กองทุนน้ำมันฯ ชดเชยในอัตรา 0.20 บาทต่อลิตร

รมว.พลังงาน คาดว่า ภายในเดือน ต.ค.นี้ ตนเองจะเสนอผลสรุปเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุม กพช.เพื่อพิจารณา รวมถึงการปรับโครงสร้างราคาก๊าซแอลพีจี ซึ่งจะต้องปรับขึ้นราคาตามแผน
กำลังโหลดความคิดเห็น