xs
xsm
sm
md
lg

คาดจุดจบวิกฤต ศก.สหรัฐฯ ดอลลาร์เหลือแค่เศษกระดาษ-เงินเอเชีย แข็งแกร่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อดีต ปธ.เอ็กซิมแบงก์ มองการอัดฉีดเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์ ในตลาดการเงินสหรัฐฯ เป็นแค่การพยุงไม่ให้ล้ม แต่ไม่ช่วยให้รอด คาดเงินเฟ้อยังขยายตัวในระดับสูง เพราะความไม่สมดุลของ ศก.โลก ชี้ วิกฤตตลาดเงินโลก ทำให้แบงก์เข้มปล่อยสินเชื่อ เงินดอลลาร์หายจากระบบ การกู้ยืมดอลลาร์ระหว่างธนาคารไม่มีเงิน กดดันให้ขึ้น ดบ.คาดแนวโน้มการตกลงทำธุรกรรมการเงินโลก ทั้งการกู้ การค้า-การลงทุน อาจต้องเปลี่ยนจากดอลลาร์เป็นเงินสกุลอื่น แนะจับตาเงินสกุลเอเชีย เริ่มเกาะกลุ่มเข้ามามีบทบาทในตลาดโลก

วันนี้ (3 ต.ค.) นายณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีตรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจหลายสมัย และอดีตประธานคณะกรรมการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) กล่าวในหัวข้อสัมมนาเรื่อง “แนวโน้มการค้าการลงทุนระหว่างประเทศภายใต้ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเงินโลก” โดยระบุว่า แผนของทางการสหรัฐฯที่จะอัดฉีดเงินเข้าไปช่วยเหลือภาคสถาบันการเงินที่มีปัญหา 7 แสนล้านดอลลาร์ ไม่น่าจะเพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาทั้งหมด เพราะเป็นเพียงมาตรการเพื่อพยุงไม่ให้ล้มเท่านั้นแต่ยังไม่ได้ช่วยให้รอด ซึ่งจากนี้ไปคงได้เห็นสถาบันการเงินในสหรัฐฯมีการควบรวมกิจการกันมากขึ้น

ขณะนี้ ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า วิกฤตภาคการเงินของสหรัฐฯจะมีปัญหาลุกลามบานปลายไปมากแค่ไหน แต่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นโดยตรงจากปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ก็คือการส่งออกของไทย ที่ในปีหน้าคงไม่ขยายตัวมากเหมือนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาแล้ว เพราะปัญหาของสหรัฐฯจะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวไปด้วย ซึ่งก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวตาม

ด้านอัตราเงินเฟ้อ คาดว่า ยังน่าจะยังอยู่ในระดับสูง เพราะความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลก ตลาดสินค้าและบริการยังมีความต้องการสินค้าพลังงานและอาหาร รวมถึงวัตถุดิบเพิ่มขึ้น และจะทำให้ราคาสินค้าเหล่านี้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อขยายตัว

นายณรงค์ชัย ยังมองว่า วิกฤตสถาบันการเงินของสหรัฐฯเริ่มทำให้สภาพคล่องของไทยตึงตัวแล้ว ซึ่งขณะนี้ธนาคารต่างหันมาให้ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อแล้ว และเห็นได้ชัดเจนว่าเงินดอลลาร์หายไปจากระบบ โดยตลาดการกู้ยืมระหว่างกัน (อินเตอร์แบงก์) ไม่มีเงินดอลลาร์ให้กู้ ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังอัตราดอกเบี้ยที่จะต้องปรับตัวสูงขึ้น การกู้ หรือการลงทุน หรือการทำธุรกรรม ที่เป็นดอลลาร์ก็จะเปลี่ยนมาสู่การทำข้อตกลงทด้วยเงินสกุลอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะสกุลเงินในกลุ่มเอเชีย

ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น เนื่องจากเมื่อดอลลาร์หายไปจากระบบก็จะทำให้มีการหันมากู้เงินเป็นสกุลบาท อีกทั้งจะมีการตกลงการค้าระหว่างกันเป็นเงินสกุลเอเชียมากขึ้น รวมถึงเงินบาทด้วย และมีการออกหลักทรัพย์เป็นเงินสกุลเอเชียร่วมกันมากขึ้น เงินสกุลเอเชียจะมีบทบาทมากขึ้นในตลาด โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรเอเชีย โดยมองไปที่เงินเยน เงินหยวนและเงินวอน

ในส่วนของดอกเบี้ยนโยบายนั้น นายณรงค์ชัย กล่าวว่า ดอกเบี้ยนโยบบายคงจะไม่ปรับสูงขึ้น เช่นเดียวกับต่างประเทศ เนื่องจากสหรัฐต้องการเน้นดูแลอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (เฟด ฟันด์ เรท) อยู่ในระดับต่ำ

นายณรงค์ชัย ยังคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีหน้า โดยประเมินว่า คงหนีไม่พ้นที่จะต้องเผชิญการชะลอตัวเช่นเดียวกับเศรษฐกิจโลก เนื่องจากการส่งออกที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า สภาพคล่องเริ่มเห็นสัญญาณตึงตัว และภูมิภาคเอเชียจะหันมาจับมือกันมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านสกุลเงินเอเชียที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นทดแทนเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
กำลังโหลดความคิดเห็น