“ทรงศักดิ์” โบ้ยบอร์ด ทอท.ตัดสินสัญญาคิงเพาเวอร์ไม่ถึง 1,000 ล้านบาท
นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ประเด็นการประเมินมูลค่าการลงทุนของกลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์ ในสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งในส่วนของการเข้ามาให้บริการในร้านค้าปลอดภาษี และการใช้พื้นที่ในเชิงพาณิชย์นั้นคณะกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.สามารถพิจารณาได้เองว่ามูลค่าการลงทุนเป็นเท่าไหร่ แต่เพื่อความโปร่งใสจึงได้สั่งการให้ใช้บริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ดำเนินการแทน ซึ่งจะทำให้ผลการประเมินจะมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยขอบข่ายในการพิจารณาจะพิจารณาเฉพาะมูลค่าของพื้นที่ที่ปรากฏในสัญญาเท่านั้น ส่วนพื้นที่ที่ คิง เพาเวอร์ ใช้เกินไปไม่ถือว่าเป็นมูลค่าที่จะนำมาใช้คำนวณ และเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ ทอท.ที่จะพิจารณาว่าจะสั่งให้มีการดำเนินการอย่างไรกับบริษัท คิงเพาเวอร์ แต่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่ ทอท.จะได้รับ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการฟ้องร้องกัน แต่อาจเจรจาเพื่อตกลงกันได้ โดย ทอท.จะสามารถรับผลประโยชน์จากการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ของบริษัท คิง เพาเวอร์ได้
“หากการดำเนินการทุกอย่างไม่ผิดต่อกฎหมายก็น่าจะเจรจากันได้ เพราะทุกอย่างต้องคำนึงถึงประโยชน์ของ ทอท.เป็นหลัก แต่หากมีปัญหา ทอท.ก็ไม่สามารถรับรู้รายได้ที่จะเกิดขึ้น ก็เสียประโยชน์ไป ที่สำคัญคือ ต้องการให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ไม่ใช่มีพื้นที่ร้างไม่เกิดประโยชน์เพราะมีปัญหาการฟ้องร้องกันทำให้พื้นที่นั้นถูกทิ้งไว้ไม่สวยงาม” นายทรงศักดิ์ กล่าว
ด้าน นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ไม่ว่าผลการประเมินออกมาจะเป็นอย่างไร โดยส่วนตัวเห็นว่าท้ายที่สุดแล้วก็ต้องดำเนินไปด้วยความยุติธรรม ภาครัฐไม่ควรเอาเปรียบภาคเอกชน และคำนึงถึงประโยชน์ที่ ทอท.จะได้รับ หากมติใดที่คณะกรรมการ ทอท.ชุดที่ผ่านมา มีมติไว้แล้วเห็นว่ายังไม่ถูกต้องก็ต้องนำมาพิจารณาใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ทอท.ได้ ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาจำนวน 2 ราย เพื่อมาศึกษามูลค่าการลงทุนของกลุ่มคิงเพาเวอร์ ในสนามบินสุวรรณภูมิว่า มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาทหรือไม่ และเข้าข่ายต้องเข้าดำเนินการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 หรือไม่ โดยมีกระแสข่าวว่า ข้อสรุปของบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินประเมินว่าลงทุนของทั้ง 2 โครงการมีมูลค่าไม่ถึง 1,000 ล้านบาท และสามารถดำเนินการตามสัญญาที่มีอยู่ต่อกันต่อไปได้
นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ประเด็นการประเมินมูลค่าการลงทุนของกลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์ ในสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งในส่วนของการเข้ามาให้บริการในร้านค้าปลอดภาษี และการใช้พื้นที่ในเชิงพาณิชย์นั้นคณะกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.สามารถพิจารณาได้เองว่ามูลค่าการลงทุนเป็นเท่าไหร่ แต่เพื่อความโปร่งใสจึงได้สั่งการให้ใช้บริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ดำเนินการแทน ซึ่งจะทำให้ผลการประเมินจะมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยขอบข่ายในการพิจารณาจะพิจารณาเฉพาะมูลค่าของพื้นที่ที่ปรากฏในสัญญาเท่านั้น ส่วนพื้นที่ที่ คิง เพาเวอร์ ใช้เกินไปไม่ถือว่าเป็นมูลค่าที่จะนำมาใช้คำนวณ และเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ ทอท.ที่จะพิจารณาว่าจะสั่งให้มีการดำเนินการอย่างไรกับบริษัท คิงเพาเวอร์ แต่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่ ทอท.จะได้รับ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการฟ้องร้องกัน แต่อาจเจรจาเพื่อตกลงกันได้ โดย ทอท.จะสามารถรับผลประโยชน์จากการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ของบริษัท คิง เพาเวอร์ได้
“หากการดำเนินการทุกอย่างไม่ผิดต่อกฎหมายก็น่าจะเจรจากันได้ เพราะทุกอย่างต้องคำนึงถึงประโยชน์ของ ทอท.เป็นหลัก แต่หากมีปัญหา ทอท.ก็ไม่สามารถรับรู้รายได้ที่จะเกิดขึ้น ก็เสียประโยชน์ไป ที่สำคัญคือ ต้องการให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ไม่ใช่มีพื้นที่ร้างไม่เกิดประโยชน์เพราะมีปัญหาการฟ้องร้องกันทำให้พื้นที่นั้นถูกทิ้งไว้ไม่สวยงาม” นายทรงศักดิ์ กล่าว
ด้าน นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ไม่ว่าผลการประเมินออกมาจะเป็นอย่างไร โดยส่วนตัวเห็นว่าท้ายที่สุดแล้วก็ต้องดำเนินไปด้วยความยุติธรรม ภาครัฐไม่ควรเอาเปรียบภาคเอกชน และคำนึงถึงประโยชน์ที่ ทอท.จะได้รับ หากมติใดที่คณะกรรมการ ทอท.ชุดที่ผ่านมา มีมติไว้แล้วเห็นว่ายังไม่ถูกต้องก็ต้องนำมาพิจารณาใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ทอท.ได้ ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาจำนวน 2 ราย เพื่อมาศึกษามูลค่าการลงทุนของกลุ่มคิงเพาเวอร์ ในสนามบินสุวรรณภูมิว่า มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาทหรือไม่ และเข้าข่ายต้องเข้าดำเนินการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 หรือไม่ โดยมีกระแสข่าวว่า ข้อสรุปของบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินประเมินว่าลงทุนของทั้ง 2 โครงการมีมูลค่าไม่ถึง 1,000 ล้านบาท และสามารถดำเนินการตามสัญญาที่มีอยู่ต่อกันต่อไปได้