“ศศิธารา” ปิ๊งไอเดีย ตั้งกองทุนเยียวยานักท่องเที่ยว สั่งคณะอนุกรรมการวางแผนยุทธศาสตร์ เร่งศึกษาความเป็นไปได้ หวังสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้แก่ประเทศไทย เหตุพบว่า 70% นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางด้วยตัวเอง หากประสบเหตุ ไม่สามารถใช้เงินจากกองทุนเพื่อการเยียวยาที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ได้ พร้อมศึกษาใช้เงินกองทุนในการวางแผนเชิงรับ เพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขัน
วานนี้ (8 ส.ค.51) ในการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย นางสาวศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะประธานกองทุนฯ กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติให้ คณะอนุกรรมการวางแผนยุทธศาสตร์ ซึ่งมีนายวุฒิพันธ์ วิชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เป็นประธาน ไปดำเนินการจัดทำรายละเอียด ในเรื่องของการวางแผนเชิงตั้งรับในการที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยสามารถขอเงินสนับสนุนจากกองทุนได้ นอกจากนั้นให้ศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดตั้งกองทุนเพื่อการเยียวยานักท่องเที่ยว โดยให้เป็นกองทุนย่อย ซึ่งอยู่ภายใต้กองทุนเพื่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย โดยให้นำรายละเอียดกลับมาเสนอในการประชุมครั้งต่อไป
ทั้งนี้เพราะได้ตั้งข้อสังเกตว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวราว 70% ที่เดินทางเข้าประเทศไทย เป็นการเดินทางมาด้วยตัวเองไม่ผ่านบริษัทนำเที่ยว ซึ่งเมื่อนักท่องเที่ยวเหล่านั้นประสบเหตุขณะที่อยู่ในประเทศไทย เช่น การโจรกรรมทรัพย์สิน การถูกหลอกลวง หรือ ได้รับอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด แต่เราไม่มีงบประมาณที่จะเข้าไปเยียวยาจิตใจและอาการของนักท่องเที่ยวได้ เพราะ ที่ผ่านมา มีกองทุนเยียวยานักท่องเที่ยว วงเงิน 20 ล้านบาท ที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์
ดังนั้นหากจะใช้เงินจากกองทุนนี้คือนักท่องเที่ยวจะต้องเดินทางผ่านบริษัทนำเที่ยวเท่านั้น จึงเป็นช่องว่างให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเองเหมือนถูกทอดทิ้งเมื่อประสบเหตุการณ์ไม่คาดคิด จึงต้องการให้การจัดตั้งกองทุนเพื่อการเยียวยาฯใหม่นี้มาเติมเต็ม เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีความประทับใจในประเทศไทยมากที่สุด โดยคณะอนุกรรมการวางแผนยุทธศาสตร์ จะต้องจัดทำในรายละเอียดเชิงลึก เช่น การพิจารณาให้เงินเยียวยา ที่รวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรม เป็นต้น
ส่วนการวางแผนเชิงตั้งรับ เพราะต้องการให้มีการประเมินสถานการณ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวไปในอนาคต เพื่อการเตรียมตัวพร้อม เช่น สามารถใช้เงินจากกองทุน เพื่อไปสนับสนุนให้หน่วยงานสถานศึกษา หรือองค์กรต่างๆ จัดทำวิจัย เพื่อนำข้อมูลกลับมาพัฒนาด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งต่างจากที่ผ่านมาว่า หน่วยงานใดๆที่จะทำงานวิจัย จะต้องตั้งเรื่องเสนอขอใช้เงิน
ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้ตีความเรื่องการใช้เงินกองทุนให้ถูกต้องตามพ.ร.บ. นโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ.2551 ด้วยโดยสรุปว่า การใช้เงินกองทุนจะแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ 1.การให้เปล่าเป็นเงินสนับสนุนให้แก่ หน่วยงานรัฐบาล และ เอกชน 2. การปล่อยกู้ แต่เป็นหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เท่านั้นที่จะขอกู้เงินได้ แต่ทั้งนี้ ต้องมีความจำเป็นจริง และเร่งด่วน แต่เบื้องต้นให้หน่วยงานเหล่านั้นเกลี่ยใช้เงินงบประมาณที่มีอยู่จนสุดความสามารถก่อน
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมครั้งหน้า จะมีการพิจารณาลงลึกในเรื่องของระเบียบการบริหารกองทุน และเงื่อนไขการทำงาน ซึ่งยอมรับว่า การทำงานของกองทุน ขณะนี้ต้องใช้เวลาในการพิจารณา เนื่องจาก อำนาจการบริหารกองทุนกระทรวงได้รับโอนย้ายมาจากกการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตาม พ.ร.บ.นโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ.2551 จึงต้องมีการทำความเข้าใจในอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย พร้อมการวางระเบียบปฏิบัติใหม่ทั้งหมด
วานนี้ (8 ส.ค.51) ในการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย นางสาวศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะประธานกองทุนฯ กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติให้ คณะอนุกรรมการวางแผนยุทธศาสตร์ ซึ่งมีนายวุฒิพันธ์ วิชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เป็นประธาน ไปดำเนินการจัดทำรายละเอียด ในเรื่องของการวางแผนเชิงตั้งรับในการที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยสามารถขอเงินสนับสนุนจากกองทุนได้ นอกจากนั้นให้ศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดตั้งกองทุนเพื่อการเยียวยานักท่องเที่ยว โดยให้เป็นกองทุนย่อย ซึ่งอยู่ภายใต้กองทุนเพื่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย โดยให้นำรายละเอียดกลับมาเสนอในการประชุมครั้งต่อไป
ทั้งนี้เพราะได้ตั้งข้อสังเกตว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวราว 70% ที่เดินทางเข้าประเทศไทย เป็นการเดินทางมาด้วยตัวเองไม่ผ่านบริษัทนำเที่ยว ซึ่งเมื่อนักท่องเที่ยวเหล่านั้นประสบเหตุขณะที่อยู่ในประเทศไทย เช่น การโจรกรรมทรัพย์สิน การถูกหลอกลวง หรือ ได้รับอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด แต่เราไม่มีงบประมาณที่จะเข้าไปเยียวยาจิตใจและอาการของนักท่องเที่ยวได้ เพราะ ที่ผ่านมา มีกองทุนเยียวยานักท่องเที่ยว วงเงิน 20 ล้านบาท ที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์
ดังนั้นหากจะใช้เงินจากกองทุนนี้คือนักท่องเที่ยวจะต้องเดินทางผ่านบริษัทนำเที่ยวเท่านั้น จึงเป็นช่องว่างให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเองเหมือนถูกทอดทิ้งเมื่อประสบเหตุการณ์ไม่คาดคิด จึงต้องการให้การจัดตั้งกองทุนเพื่อการเยียวยาฯใหม่นี้มาเติมเต็ม เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีความประทับใจในประเทศไทยมากที่สุด โดยคณะอนุกรรมการวางแผนยุทธศาสตร์ จะต้องจัดทำในรายละเอียดเชิงลึก เช่น การพิจารณาให้เงินเยียวยา ที่รวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรม เป็นต้น
ส่วนการวางแผนเชิงตั้งรับ เพราะต้องการให้มีการประเมินสถานการณ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวไปในอนาคต เพื่อการเตรียมตัวพร้อม เช่น สามารถใช้เงินจากกองทุน เพื่อไปสนับสนุนให้หน่วยงานสถานศึกษา หรือองค์กรต่างๆ จัดทำวิจัย เพื่อนำข้อมูลกลับมาพัฒนาด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งต่างจากที่ผ่านมาว่า หน่วยงานใดๆที่จะทำงานวิจัย จะต้องตั้งเรื่องเสนอขอใช้เงิน
ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้ตีความเรื่องการใช้เงินกองทุนให้ถูกต้องตามพ.ร.บ. นโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ.2551 ด้วยโดยสรุปว่า การใช้เงินกองทุนจะแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ 1.การให้เปล่าเป็นเงินสนับสนุนให้แก่ หน่วยงานรัฐบาล และ เอกชน 2. การปล่อยกู้ แต่เป็นหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เท่านั้นที่จะขอกู้เงินได้ แต่ทั้งนี้ ต้องมีความจำเป็นจริง และเร่งด่วน แต่เบื้องต้นให้หน่วยงานเหล่านั้นเกลี่ยใช้เงินงบประมาณที่มีอยู่จนสุดความสามารถก่อน
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมครั้งหน้า จะมีการพิจารณาลงลึกในเรื่องของระเบียบการบริหารกองทุน และเงื่อนไขการทำงาน ซึ่งยอมรับว่า การทำงานของกองทุน ขณะนี้ต้องใช้เวลาในการพิจารณา เนื่องจาก อำนาจการบริหารกองทุนกระทรวงได้รับโอนย้ายมาจากกการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตาม พ.ร.บ.นโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ.2551 จึงต้องมีการทำความเข้าใจในอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย พร้อมการวางระเบียบปฏิบัติใหม่ทั้งหมด
