กาแฟวาวี โอดพิษเศรษฐกิจคนหันดื่มกาแฟรถเข็น เซเว่นฯ กระทบผู้ประกอบการรายย่อย ส่วนรายใหญ่ลดขยายสาขา ล่าสุด แตกธุรกิจร้านขนมปัง “เบสท์ บราสเซอรี่” ต่อยอดทางธุรกิจ ปูพรมทดลองตลาด จ.เชียงใหม่ ลั่นเตรียมขยายสาขากาแฟวาวีบุกเมืองกรุง ชูจุดขายวัตถุดิบและราคาคนไทย
นายไกรสิทธิ์ ฟูสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กาแฟวาวี จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านกาแฟวาวี เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมต่อยอดทางธุรกิจร้านกาแฟวาวีด้วยการเปิดตัวร้านขนมปัง “เบสท์ บราสเซอรี่” ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ เนื่องจากเป็นสินค้าที่รับประทานแทนอาหารได้ และขณะเดียวกัน ยังสอดคล้องกับธุรกิจร้านกาแฟอีกด้วย
โดยบริษัทวางแผนเปิดสาขาแรก นำร่องเปิดที่ จ.เชียงใหม่ โดยใช้งบลงทุน 3.7-4 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังเตรียมนำขนมปัง สัดส่วน 25% จากการผลิตเข้าไปจำหน่ายร้านกาแฟวาวี เพื่อเป็นการขยายตลาดด้วยเช่นกัน ราคาจำหน่ายตั้งแต่ 27-28 บาทขึ้นไป
ส่วนด้านธุรกิจร้านกาแฟวาวีนั้น ซึ่งคอนเซปต์เป็นกาแฟระดับพรีเมียม แต่จำหน่ายในราคาคนไทย บริษัทจะขยายสาขาเพิ่มในกรุงเทพฯ เป็นหลักจากนี้ไป เนื่องจากว่าในตลาดจังหวัดเชียงใหม่ ร้านกาแฟวาวีมีสาขาที่ครอบคลุมแล้ว และการแข่งขันสูงมีร้านกาแฟรายอื่นๆ รวมกว่า 70-80 แห่ง ที่เปิดบริการ ทำให้ต้องมองตลาดกรุงเทพฯแทน
สำหรับร้านกาแฟวาวี จะใช้พื้นที่เฉลี่ย 80 ตร.ม.ภายใต้การใช้งบลงทุน 2.5-3 ล้านบาทต่อสาขา โดยในกรุงเทพฯ บริษัทจะเปิดที่ซอยอารีย์, ซอยละลายทรัพย์ และ สยาม พารากอน และเดือนสิงหาคม จะเปิดตัวที่เย็นอากาศ เป็นต้น จากปัจจุบันร้านกาแฟวาวี มีทั้งหมด 24 สาขา แบ่งเป็นการลงทุนเอง 50% ร่วมทุน 25% และแฟรนไชส์ 25% สำหรับจุดเด่นของกาแฟวาวี เน้นการคัดสรรเมล็ดกาแฟจากพื้นที่สูงประมาณ 1,100 เมตร
ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัทมียอดขายลดลงบ้าง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง โดยคาดว่า ยอดขายปีนี้อาจจะลดลง 14-17% อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เตรียมจัดกิจกรรม และโปรโมชันสำหรับผู้เป็นสมาชิกในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อกระตุ้นยอดขายให้มีอัตราการเติบโต และขณะเดียวกัน มีแผนที่จะขยายฐานสมาชิกให้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมี 800 คน นอกจากนี้ ยังเตรียมเพิ่มเมนูใหม่ๆ และฝึกอบรมให้กับพนักงาน โดยปีนี้บริษัทใช้งบลงทุน 12 ล้านบาท แบ่งเป็นด้านคลังสินค้า 5 ล้านบาท และฝึกอบรมพนักงาน 7 ล้านบาท
นายไกรสิทธิ์ กล่าวว่า สถานการณ์ธุรกิจร้านกาแฟในขณะนี้ การแข่งขันไม่รุนแรง เนื่องจากรายเล็กปิดตัวเป็นจำนวนมาก ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ลดปริมาณการขยายสาขา เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ปรับเพิ่มขึ้น
สำหรับบริษัทเองต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะนมปรับเพิ่มขึ้น 20% และพลาสติก 12-13% ทำให้ในช่วงเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ได้ปรับราคากาแฟเพิ่มขึ้น 5 บาท จากเดิม 40 บาท เป็น 45 บาท ส่วนกลุ่มเบเกอรี่เพิ่มขึ้น 15% อีกทั้งยังต้องลดค่าใช้จ่ายบางสาขาด้วย
“ผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ทำให้ผู้ดื่มจะหันไปดื่มกาแฟร้านรถเข็นก็มีมากขึ้น หรือผ่านช่องทางร้านค้าสะดวกซื้ออย่างเซเว่น อีเลฟเว่น เนื่องจากมีราคาที่แตกต่างกัน โดยกาแฟวาวีจำหน่ายราคา 65-80 บาทขึ้นไป เมื่อเทียบกับร้านรถเข็นมีตั้งแต่ 10 บาทขึ้นไป”
นายไกรสิทธิ์ ฟูสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กาแฟวาวี จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านกาแฟวาวี เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมต่อยอดทางธุรกิจร้านกาแฟวาวีด้วยการเปิดตัวร้านขนมปัง “เบสท์ บราสเซอรี่” ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ เนื่องจากเป็นสินค้าที่รับประทานแทนอาหารได้ และขณะเดียวกัน ยังสอดคล้องกับธุรกิจร้านกาแฟอีกด้วย
โดยบริษัทวางแผนเปิดสาขาแรก นำร่องเปิดที่ จ.เชียงใหม่ โดยใช้งบลงทุน 3.7-4 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังเตรียมนำขนมปัง สัดส่วน 25% จากการผลิตเข้าไปจำหน่ายร้านกาแฟวาวี เพื่อเป็นการขยายตลาดด้วยเช่นกัน ราคาจำหน่ายตั้งแต่ 27-28 บาทขึ้นไป
ส่วนด้านธุรกิจร้านกาแฟวาวีนั้น ซึ่งคอนเซปต์เป็นกาแฟระดับพรีเมียม แต่จำหน่ายในราคาคนไทย บริษัทจะขยายสาขาเพิ่มในกรุงเทพฯ เป็นหลักจากนี้ไป เนื่องจากว่าในตลาดจังหวัดเชียงใหม่ ร้านกาแฟวาวีมีสาขาที่ครอบคลุมแล้ว และการแข่งขันสูงมีร้านกาแฟรายอื่นๆ รวมกว่า 70-80 แห่ง ที่เปิดบริการ ทำให้ต้องมองตลาดกรุงเทพฯแทน
สำหรับร้านกาแฟวาวี จะใช้พื้นที่เฉลี่ย 80 ตร.ม.ภายใต้การใช้งบลงทุน 2.5-3 ล้านบาทต่อสาขา โดยในกรุงเทพฯ บริษัทจะเปิดที่ซอยอารีย์, ซอยละลายทรัพย์ และ สยาม พารากอน และเดือนสิงหาคม จะเปิดตัวที่เย็นอากาศ เป็นต้น จากปัจจุบันร้านกาแฟวาวี มีทั้งหมด 24 สาขา แบ่งเป็นการลงทุนเอง 50% ร่วมทุน 25% และแฟรนไชส์ 25% สำหรับจุดเด่นของกาแฟวาวี เน้นการคัดสรรเมล็ดกาแฟจากพื้นที่สูงประมาณ 1,100 เมตร
ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัทมียอดขายลดลงบ้าง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง โดยคาดว่า ยอดขายปีนี้อาจจะลดลง 14-17% อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เตรียมจัดกิจกรรม และโปรโมชันสำหรับผู้เป็นสมาชิกในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อกระตุ้นยอดขายให้มีอัตราการเติบโต และขณะเดียวกัน มีแผนที่จะขยายฐานสมาชิกให้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมี 800 คน นอกจากนี้ ยังเตรียมเพิ่มเมนูใหม่ๆ และฝึกอบรมให้กับพนักงาน โดยปีนี้บริษัทใช้งบลงทุน 12 ล้านบาท แบ่งเป็นด้านคลังสินค้า 5 ล้านบาท และฝึกอบรมพนักงาน 7 ล้านบาท
นายไกรสิทธิ์ กล่าวว่า สถานการณ์ธุรกิจร้านกาแฟในขณะนี้ การแข่งขันไม่รุนแรง เนื่องจากรายเล็กปิดตัวเป็นจำนวนมาก ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ลดปริมาณการขยายสาขา เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ปรับเพิ่มขึ้น
สำหรับบริษัทเองต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะนมปรับเพิ่มขึ้น 20% และพลาสติก 12-13% ทำให้ในช่วงเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ได้ปรับราคากาแฟเพิ่มขึ้น 5 บาท จากเดิม 40 บาท เป็น 45 บาท ส่วนกลุ่มเบเกอรี่เพิ่มขึ้น 15% อีกทั้งยังต้องลดค่าใช้จ่ายบางสาขาด้วย
“ผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ทำให้ผู้ดื่มจะหันไปดื่มกาแฟร้านรถเข็นก็มีมากขึ้น หรือผ่านช่องทางร้านค้าสะดวกซื้ออย่างเซเว่น อีเลฟเว่น เนื่องจากมีราคาที่แตกต่างกัน โดยกาแฟวาวีจำหน่ายราคา 65-80 บาทขึ้นไป เมื่อเทียบกับร้านรถเข็นมีตั้งแต่ 10 บาทขึ้นไป”