ร้านกาแฟดิโอโร่ปรับแผนรุกปีหน้า ลุยช่องทางใหม่ตามห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตี้มอลล์ นำร่องปีนี้จ่อผุด 2 สาขาก่อน หวังขยายฐานตลาด ล่าสุดเข้าศูนย์การศึกษาซียูสแควร์สามย่าน ผนึกไทยสมาร์ทการ์ดออกบัตรแบรนด์ “ ดิโอโร่สมาร์ท”
นางนิรมล ศรีสุรินทร์ กรรมการบริหาร บริษัท โกลเด้นครีม จำกัด ผู้บริหารร้านกาแฟ ดิโอโร่ ของคนไทย เปิดเผยว่า สภาวะเศรษฐกิจในเมืองไทยรวมทั้งปัญหาทางด้านการเมืองที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อธุรกิจร้านกาแฟที่มีอัตราการเติบโตที่น้อยลงด้วยเช่นกัน รวมไปถึงผู้ประกอบการรายเล็กๆก็มีการเลิกกิจการไปจำนวนมากหลังจากที่มีการเปิดตัวกันมากมายในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆ
อย่างไรก็ตาม มองว่าธุรกิจร้านกาแฟในเมืองไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องมีความพร้อมและมีการปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลอดเวลา จึงจะอยู่รอด ซึ่งในส่วนของบริษัทฯเองนั้น พบว่าดิโอโร่มีอัตราการเติบโตที่ดีต่อเนื่องโดยเฉลี่ย 20% แต่ยอมรับปีนี้อาจจะเติบโตน้อยลงอยู่ที่ 10% กว่าๆเพราะมีปัจจัยลบหลายอย่างนั่นเอง
ดังนั้นนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในปีหน้ามีแผนที่จะขยายสาขาของร้านกาแฟดิโอโร่ไปยังพื้นที่ทำเลใหม่ๆ โดยเฉพาะการรุกเข้าห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงานและคอมมูนิตี้มอลล์ รวมทั้งสแตนด์อโลนด้วย หลังจากที่ผ่านมามักจะเปิดร้านในปั๊มน้ำมันเชลล์และสแตนด์อโลนเป็นหลัก การทำกิจกรรมการตลาดต่อเนื่อง การจับมือกับพันธมิตรเพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมาย
โดยปีหน้ามีแผนเปิดสาขาประมาณ 5 สาขา ทั้งนี้ได้มีการเจรจากับทางเจ้าของห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตี้มอลล์อีกหลายแห่ง แต่ยังไม่ได้สรุปผลการเจรจา คาดว่าก่อนสิ้นปีนี้จะเห็นได้อย่างต่ำ 2 สาขาที่เปิดในคอมมูนิตี้มอลล์ หากไม่มีเหตุการณ์อะไรที่รุนแรงเกิดขึ้นทางการเมืองมากกว่านี้ คาดว่าจะลงทุนสาขาละประมาณ 700,000 - 1 ล้านบาท
ขณะที่ทำเลในปั๊มน้ำมันนั้น คาดว่าปีหน้าจะไม่ได้มุ่งเน้นมากนัก แต่จะชะลอตัวเล็กน้อย เนื่องจากว่าที่ผ่านมาได้เปิดไปมากแล้ว แต่ถ้าหากได้ทำเลที่ดีๆก็จะเปิดเช่นกัน ซึ่งรูปแบบเปิดร้านนั้นจะเน้นการลงทุนเอง ส่วนแฟรนไชส์ก็มีบ้างแต่ไม่ได้เน้นมากนัก
ปัจจุบันร้านกาแฟดิโอโร่เปิดบริการมาแล้วประมาณ 9 ปี มีสาขาประมาณ 70 กว่าแห่ง ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณทลเป็นหลัก มีในต่างจังหวัดเล็กน้อยเช่นที่ สระบุรี ขณะที่สัดส่วนที่เปิดในปั๊มมีมากกว่า 40 สาขา
ล่าสุดคือการเปิดสาขาในซียูสแควร์ ซึ่งเป็นศูนย์การศึกษาที่สามย่าน และถือเป็นสาขาแรกที่เปิดอยู่ในร้านหนังสือ ซึ่งถือเป็นทำเลแบบใหม่ของดิโอโร่ที่ขยายตัวออกไปและยังสามารถขยายฐานไปยังกลุ่มนักศึกษาได้อีกด้วย ซึ่งดิโอโร่มีกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายครอบคลุมด้วยคอนเซ็ปท์แฟมิลี่คอฟฟี่เฮาส์ ตั้งแต่อายุ 20-50 ปี ขณะที่มีฐานสมาชิกรวมกันมากกว่า 20,000 ราย
ล่าสุดดิโอโร่ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับทางบริษัท ไทยสมาร์ทการ์ด จำกัด เพื่อออกบัตรโคแบรนด์ ดิโอโร่สมาร์ทเพิร์ส เพื่อให้ผู้ถือบัตรนี้สามารถใช้แทนเงินสดได้ โดยสมัครเป็นสมาชิกเสียเงิน 500 บาท แต่จะได้รับคูปองมีมูลค่ารวม 670 บาท ซึ่งขณะนี้มีร้านดิโอโร่ที่สามารถรับบัตรได้แล้วมีประมาณ 40 กว่าสาขา และจะทยอยให้รับบัตรได้ครบทุกสาขาต่อไป โดยขณะนี้มียอดขายบัตรดังกล่าวแล้วเฉลี่ย 100 กว่าใบต่อวัน และตั้งเป้ายอดขายบัตรนี้ประมาณ 5,000 ใบในช่วงปีแรก และปีที่สองตั้งเป้ายอดขายอีก 5,000 ใบ และคาดหวังว่าเมื่อมีบัตรนี้แล้วจะช่วยเพิ่มยอดขายและเพิ่มปริมาณคนเข้าร้านได้อีก 10%
นางนิรมลกล่าวว่า ผลประกอบการของดิโอโร่ในปีนี้คาดว่าจะมีประมาณ 150 กว่าล้านบาท เติบโต 10% ซึ่งสัดส่วนรายได้มาจากเครื่องดื่มมากกว่า 70% และเบเกอรี่ 30% ส่วนราคาสินค้าเครื่องดื่มและอาหารนั้นได้มีการปรับราคาขึ้นประมาณ 7% เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบการผลิตสูงขึ้น จึงจำเป็นต้องปรับราคาบ้าง
นางนิรมล ศรีสุรินทร์ กรรมการบริหาร บริษัท โกลเด้นครีม จำกัด ผู้บริหารร้านกาแฟ ดิโอโร่ ของคนไทย เปิดเผยว่า สภาวะเศรษฐกิจในเมืองไทยรวมทั้งปัญหาทางด้านการเมืองที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อธุรกิจร้านกาแฟที่มีอัตราการเติบโตที่น้อยลงด้วยเช่นกัน รวมไปถึงผู้ประกอบการรายเล็กๆก็มีการเลิกกิจการไปจำนวนมากหลังจากที่มีการเปิดตัวกันมากมายในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆ
อย่างไรก็ตาม มองว่าธุรกิจร้านกาแฟในเมืองไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องมีความพร้อมและมีการปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลอดเวลา จึงจะอยู่รอด ซึ่งในส่วนของบริษัทฯเองนั้น พบว่าดิโอโร่มีอัตราการเติบโตที่ดีต่อเนื่องโดยเฉลี่ย 20% แต่ยอมรับปีนี้อาจจะเติบโตน้อยลงอยู่ที่ 10% กว่าๆเพราะมีปัจจัยลบหลายอย่างนั่นเอง
ดังนั้นนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในปีหน้ามีแผนที่จะขยายสาขาของร้านกาแฟดิโอโร่ไปยังพื้นที่ทำเลใหม่ๆ โดยเฉพาะการรุกเข้าห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงานและคอมมูนิตี้มอลล์ รวมทั้งสแตนด์อโลนด้วย หลังจากที่ผ่านมามักจะเปิดร้านในปั๊มน้ำมันเชลล์และสแตนด์อโลนเป็นหลัก การทำกิจกรรมการตลาดต่อเนื่อง การจับมือกับพันธมิตรเพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมาย
โดยปีหน้ามีแผนเปิดสาขาประมาณ 5 สาขา ทั้งนี้ได้มีการเจรจากับทางเจ้าของห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตี้มอลล์อีกหลายแห่ง แต่ยังไม่ได้สรุปผลการเจรจา คาดว่าก่อนสิ้นปีนี้จะเห็นได้อย่างต่ำ 2 สาขาที่เปิดในคอมมูนิตี้มอลล์ หากไม่มีเหตุการณ์อะไรที่รุนแรงเกิดขึ้นทางการเมืองมากกว่านี้ คาดว่าจะลงทุนสาขาละประมาณ 700,000 - 1 ล้านบาท
ขณะที่ทำเลในปั๊มน้ำมันนั้น คาดว่าปีหน้าจะไม่ได้มุ่งเน้นมากนัก แต่จะชะลอตัวเล็กน้อย เนื่องจากว่าที่ผ่านมาได้เปิดไปมากแล้ว แต่ถ้าหากได้ทำเลที่ดีๆก็จะเปิดเช่นกัน ซึ่งรูปแบบเปิดร้านนั้นจะเน้นการลงทุนเอง ส่วนแฟรนไชส์ก็มีบ้างแต่ไม่ได้เน้นมากนัก
ปัจจุบันร้านกาแฟดิโอโร่เปิดบริการมาแล้วประมาณ 9 ปี มีสาขาประมาณ 70 กว่าแห่ง ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณทลเป็นหลัก มีในต่างจังหวัดเล็กน้อยเช่นที่ สระบุรี ขณะที่สัดส่วนที่เปิดในปั๊มมีมากกว่า 40 สาขา
ล่าสุดคือการเปิดสาขาในซียูสแควร์ ซึ่งเป็นศูนย์การศึกษาที่สามย่าน และถือเป็นสาขาแรกที่เปิดอยู่ในร้านหนังสือ ซึ่งถือเป็นทำเลแบบใหม่ของดิโอโร่ที่ขยายตัวออกไปและยังสามารถขยายฐานไปยังกลุ่มนักศึกษาได้อีกด้วย ซึ่งดิโอโร่มีกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายครอบคลุมด้วยคอนเซ็ปท์แฟมิลี่คอฟฟี่เฮาส์ ตั้งแต่อายุ 20-50 ปี ขณะที่มีฐานสมาชิกรวมกันมากกว่า 20,000 ราย
ล่าสุดดิโอโร่ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับทางบริษัท ไทยสมาร์ทการ์ด จำกัด เพื่อออกบัตรโคแบรนด์ ดิโอโร่สมาร์ทเพิร์ส เพื่อให้ผู้ถือบัตรนี้สามารถใช้แทนเงินสดได้ โดยสมัครเป็นสมาชิกเสียเงิน 500 บาท แต่จะได้รับคูปองมีมูลค่ารวม 670 บาท ซึ่งขณะนี้มีร้านดิโอโร่ที่สามารถรับบัตรได้แล้วมีประมาณ 40 กว่าสาขา และจะทยอยให้รับบัตรได้ครบทุกสาขาต่อไป โดยขณะนี้มียอดขายบัตรดังกล่าวแล้วเฉลี่ย 100 กว่าใบต่อวัน และตั้งเป้ายอดขายบัตรนี้ประมาณ 5,000 ใบในช่วงปีแรก และปีที่สองตั้งเป้ายอดขายอีก 5,000 ใบ และคาดหวังว่าเมื่อมีบัตรนี้แล้วจะช่วยเพิ่มยอดขายและเพิ่มปริมาณคนเข้าร้านได้อีก 10%
นางนิรมลกล่าวว่า ผลประกอบการของดิโอโร่ในปีนี้คาดว่าจะมีประมาณ 150 กว่าล้านบาท เติบโต 10% ซึ่งสัดส่วนรายได้มาจากเครื่องดื่มมากกว่า 70% และเบเกอรี่ 30% ส่วนราคาสินค้าเครื่องดื่มและอาหารนั้นได้มีการปรับราคาขึ้นประมาณ 7% เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบการผลิตสูงขึ้น จึงจำเป็นต้องปรับราคาบ้าง