ไนน์ตี้โฟร์ในเครืออโรม่ากรุ๊ปจัดทัพธุรกิจร้านกาแฟใหม่ แยกชัดเจนตามทำเลและเป้าหมายตลาด พร้อมเปิดตัวธุรกิจใหม่ “โอเคเอสเพรสโซ” รับปัจจัยลบ กำลังซื้อหด หวังขยายเครือข่าย รูปแบบคีออส ชูจุดเด่นลงทุนต่ำ คล่องตัว เสริมกับธุรกิจเดิมได้ มั่นใจทั้งปีส่งให้ทั้งเครือโต 25%
นายพริษฐ์ อนุกูลธนาการ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อัลติเมท เบเวอร์เรจ โปรดักส์ จำกัด ผู้บริหารร้านกาแฟแบรนด์ไนน์ตี้โฟร์ ในเครืออโรม่ากรุ๊ป ของคนไทย เปิดเผยว่า จากสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดี กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง ต้นทุนดำเนินธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ที่จะซื้อแฟรนไชส์ที่ต้องใช้งบประมาณค่อนข้างสูง จึงทำให้บริษัทฯเปิดตัวธุรกิจรูปแบบใหม่ชื่อว่า โอเคเอสเพรสโซ ซึ่งคาดว่าน่าจะเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ขณะเดียวกันบริษัทฯยังได้วางตำแหน่งทางการตลาดของแต่ละแบรนด์ร้านกาแฟในการจับกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน และสร้างความหลากหลายเพื่อการเติบโตรวมทั้งเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่สนใจลงทุนร้านกาแฟด้วย
โดยแบรนด์หลักยังคงเป็นร้านไนน์ตี้โฟร์ คอฟฟี่ ซึ่งทำรายได้หลักให้กับบริษัทฯ ปัจจุบันมีประมาฯ 40 สาขา คาดว่าปีนี้จะเปิดอีกไม่เกิน 3 สาขา แบรนด์นี้ขายแฟรนไชส์ด้วย ซึ่งแต่เดิมจะเน้นทำเลที่เป็นสแตนด์อโลนเป็นหลัก และจากนี้ไปก็จะขยายเข้าสู่ทำเลใหม่ๆเช่น คอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งล่าสุดได้จับมือเป็นพันธมิตรกับท็อปส์มาร์เก็ตเพลสเปิดสาขาที่อุดมสุข และได้เจรจาถึงการขยายสาขาอื่นๆต่อไปด้วย ทั้งนี้ไม่มองทำเลในศูนย์การค้าหรือในห้างสรรพสินค้าเนื่องจากการแข่งขันค่อนข้างสูง และค่าเช่าสูงมาก
ร้านโอเคเอสเพรสโซ เป็นแบรนด์ใหม่ที่สร้างขึ้นมา เป็นลักษณะคีออสซึ่งบริษัทฯจะเป็นผู้ขายระบบ อุปกรณ์ เครื่องชงกาแฟ วัตถุดิบ และดูแลการจัดการให้กับผู้ที่สนใจ ที่จะลงทุนเปิด ธุรกิจร้านกาแฟ ซึ่งมีงบประมาณลงทุนตั้งแต่ 30,000 – 100,000 บาท แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับรูปแบบที่จะลงทุน ราคากาแฟเฉลี่ย 20-25 บาท ปัจจุบันเปิดแล้ว 25 จุด คาดว่าปีนี้จะมี 60 จุด เจาะตามย่านชุมชนทั่วไป ซึ่งน่าจะเป็นธุรกิจช่วยให้ผู้สนใจลงทุนได้เพราะใช้เงินทุนไม่มาก เหมือนกับการซื้อแฟรนไชส์แบรนด์อื่น หรือลงทุนไปเปิดบริการเสริมในธุรกิจร้านอาหารที่มีอยู่แล้วก็ได้
อีกแบรนด์คือ วีว่า คาเฟ่ ขายกาแฟและอาหาร ราคาเฉลี่ย 35 บาท ซึ่งบริษัทฯลงทุนเอง เพิ่งเริ่มเมื่อปีที่แล้ว โดยเป็นการปรับจากร้านไนน์ตี้โฟร์คอฟฟี่เดิมที่เปิดบริการอยู่ในปั๊มน้ำมันมาเป็นร้านวีว่า คาเฟ่ซึ่งปรับไปแล้วจำนวน 6 แห่งคือ เอสโซ่ (ลาดพร้าว,งามวงศ์วาน,รามอินทรากม.4.5และ6.5) เชลล์บางนา กม.18 ปิโตรนาสพหลโยธิน กม. 37 ซึ่งอยู่ในช่วงของการทดลอง แต่ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีโดยยังไม่เปิดขายแฟรนไชส์
“ก่อนหน้านี้เรามีเปิดร้านไนน์ตี้โฟร์ในปั๊มน้ำมันมากกว่า 10 แห่ง แต่ทยอยปิดไปบ้างแล้วและมีเปลี่ยนไปบ้างแล้ว แต่ตอนนี้ที่เหลือ 4 ที่คือ ปิโตรนาส (รัชดาภิเษก,พระรามสอง,หลานหลวง) และเชลล์พหลโยธิน ซึ่งสาขาเหล่านี้ไปได้ดี ต่อไปนี้ถ้าเราได้ทำเลดีๆในปั๊มก็จะเปิดร้านวีว่าคาเฟ่แทน” นายพริษฐ์กล่าว
ทั้งสามแบรนด์นี้จะมีกลุ่มเป้าหมายและทำเลที่เปิดแตกต่างกันชัดเจน ทำให้มั่นใจว่าไม่มีการซ้ำซ้อนในเรื่องกลุ่มเป้าหมายและตลาดแน่นอน นอกนั้นก็มีร้านเครื่องสุขภาพแบรนด์ ทูตตี้ฟรุ้ตตี้ ซึ่งเปิดมาได้ประมาณ 2 ปีแล้ว ส่วนใหญ่จะเปิดควบคู่ไปกับร้านไนน์ตี้โฟร์คอฟฟี่ ขณะที่บริษัทฯยังเป็นซัปพลายเออร์ดูแลระบบให้กับร้านอะเมซอนคาเฟ่ในปั๊มปตท.อีกด้วย
โดยจากการจัดรูปแบบการดำเนินงานใหม่นี้คาดว่าผลประกอบการของบริษัทฯจะมีส่วนช่วยทำให้ธุรกิจทั้งหมดในเครือของอโรม่ากรุ๊ปมีการเติบโตในปีนี้มากกว่า 25% จากปีที่แล้วมีรายได้รวมกว่า 500 ล้านบาท
นายพริษฐ์ อนุกูลธนาการ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อัลติเมท เบเวอร์เรจ โปรดักส์ จำกัด ผู้บริหารร้านกาแฟแบรนด์ไนน์ตี้โฟร์ ในเครืออโรม่ากรุ๊ป ของคนไทย เปิดเผยว่า จากสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดี กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง ต้นทุนดำเนินธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ที่จะซื้อแฟรนไชส์ที่ต้องใช้งบประมาณค่อนข้างสูง จึงทำให้บริษัทฯเปิดตัวธุรกิจรูปแบบใหม่ชื่อว่า โอเคเอสเพรสโซ ซึ่งคาดว่าน่าจะเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ขณะเดียวกันบริษัทฯยังได้วางตำแหน่งทางการตลาดของแต่ละแบรนด์ร้านกาแฟในการจับกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน และสร้างความหลากหลายเพื่อการเติบโตรวมทั้งเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่สนใจลงทุนร้านกาแฟด้วย
โดยแบรนด์หลักยังคงเป็นร้านไนน์ตี้โฟร์ คอฟฟี่ ซึ่งทำรายได้หลักให้กับบริษัทฯ ปัจจุบันมีประมาฯ 40 สาขา คาดว่าปีนี้จะเปิดอีกไม่เกิน 3 สาขา แบรนด์นี้ขายแฟรนไชส์ด้วย ซึ่งแต่เดิมจะเน้นทำเลที่เป็นสแตนด์อโลนเป็นหลัก และจากนี้ไปก็จะขยายเข้าสู่ทำเลใหม่ๆเช่น คอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งล่าสุดได้จับมือเป็นพันธมิตรกับท็อปส์มาร์เก็ตเพลสเปิดสาขาที่อุดมสุข และได้เจรจาถึงการขยายสาขาอื่นๆต่อไปด้วย ทั้งนี้ไม่มองทำเลในศูนย์การค้าหรือในห้างสรรพสินค้าเนื่องจากการแข่งขันค่อนข้างสูง และค่าเช่าสูงมาก
ร้านโอเคเอสเพรสโซ เป็นแบรนด์ใหม่ที่สร้างขึ้นมา เป็นลักษณะคีออสซึ่งบริษัทฯจะเป็นผู้ขายระบบ อุปกรณ์ เครื่องชงกาแฟ วัตถุดิบ และดูแลการจัดการให้กับผู้ที่สนใจ ที่จะลงทุนเปิด ธุรกิจร้านกาแฟ ซึ่งมีงบประมาณลงทุนตั้งแต่ 30,000 – 100,000 บาท แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับรูปแบบที่จะลงทุน ราคากาแฟเฉลี่ย 20-25 บาท ปัจจุบันเปิดแล้ว 25 จุด คาดว่าปีนี้จะมี 60 จุด เจาะตามย่านชุมชนทั่วไป ซึ่งน่าจะเป็นธุรกิจช่วยให้ผู้สนใจลงทุนได้เพราะใช้เงินทุนไม่มาก เหมือนกับการซื้อแฟรนไชส์แบรนด์อื่น หรือลงทุนไปเปิดบริการเสริมในธุรกิจร้านอาหารที่มีอยู่แล้วก็ได้
อีกแบรนด์คือ วีว่า คาเฟ่ ขายกาแฟและอาหาร ราคาเฉลี่ย 35 บาท ซึ่งบริษัทฯลงทุนเอง เพิ่งเริ่มเมื่อปีที่แล้ว โดยเป็นการปรับจากร้านไนน์ตี้โฟร์คอฟฟี่เดิมที่เปิดบริการอยู่ในปั๊มน้ำมันมาเป็นร้านวีว่า คาเฟ่ซึ่งปรับไปแล้วจำนวน 6 แห่งคือ เอสโซ่ (ลาดพร้าว,งามวงศ์วาน,รามอินทรากม.4.5และ6.5) เชลล์บางนา กม.18 ปิโตรนาสพหลโยธิน กม. 37 ซึ่งอยู่ในช่วงของการทดลอง แต่ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีโดยยังไม่เปิดขายแฟรนไชส์
“ก่อนหน้านี้เรามีเปิดร้านไนน์ตี้โฟร์ในปั๊มน้ำมันมากกว่า 10 แห่ง แต่ทยอยปิดไปบ้างแล้วและมีเปลี่ยนไปบ้างแล้ว แต่ตอนนี้ที่เหลือ 4 ที่คือ ปิโตรนาส (รัชดาภิเษก,พระรามสอง,หลานหลวง) และเชลล์พหลโยธิน ซึ่งสาขาเหล่านี้ไปได้ดี ต่อไปนี้ถ้าเราได้ทำเลดีๆในปั๊มก็จะเปิดร้านวีว่าคาเฟ่แทน” นายพริษฐ์กล่าว
ทั้งสามแบรนด์นี้จะมีกลุ่มเป้าหมายและทำเลที่เปิดแตกต่างกันชัดเจน ทำให้มั่นใจว่าไม่มีการซ้ำซ้อนในเรื่องกลุ่มเป้าหมายและตลาดแน่นอน นอกนั้นก็มีร้านเครื่องสุขภาพแบรนด์ ทูตตี้ฟรุ้ตตี้ ซึ่งเปิดมาได้ประมาณ 2 ปีแล้ว ส่วนใหญ่จะเปิดควบคู่ไปกับร้านไนน์ตี้โฟร์คอฟฟี่ ขณะที่บริษัทฯยังเป็นซัปพลายเออร์ดูแลระบบให้กับร้านอะเมซอนคาเฟ่ในปั๊มปตท.อีกด้วย
โดยจากการจัดรูปแบบการดำเนินงานใหม่นี้คาดว่าผลประกอบการของบริษัทฯจะมีส่วนช่วยทำให้ธุรกิจทั้งหมดในเครือของอโรม่ากรุ๊ปมีการเติบโตในปีนี้มากกว่า 25% จากปีที่แล้วมีรายได้รวมกว่า 500 ล้านบาท