ปลัดพาณิชย์ ยอมรับเงินเฟ้อครึ่งปีหลัง เพิ่มในอัตราเร่ง ระบุ สินค้า 373 รายการ แต่ควบคุมราคาได้แค่ 20% เผย ก๊าซแอลพีจี-เอ็นจีวี มีผลต่อตัวเลขเงินเฟ้อมากขึ้น เตรียมศึกษาเพื่อนำเข้าตะกร้าคำนวณ ยันไม่มีการแต่งตัวเลขแน่นอน “ศิริพล” บอกกลัวที่สุด ขณะที่ราคาเคหสถาน มีน้ำหนักคำนวณเงินเฟ้อถึง 19.45% แต่ไม่มีหน่วยงานดูแลโดยตรง
เงินเฟ้อขึ้นอยู่กับทิศทางน้ำมัน เล็งปรับการคำนวณใหม่ ดึงก๊าซแอลพีจีและเอ็นจี ไว้ในตะกร้า หลังปริมาณใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น คาดปีนี้เงินเฟ้อเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 7.8% สั่งกรมการค้าภายในศึกษามาตรการพิเศษดูแลเพิ่มเติม “ยรรยง” รับสินค้ายื่นขอปรับขึ้นราคา แต่ยังไม่มีการอนุมัติ
วันนี้ (21 ก.ค.) นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวยอมรับว่า รัฐบาลมีความวิตกกังวลอัตราเงินเฟ้อช่วงครึ่งหลังปีนี้ โดยประเมินว่า หากราคาน้ำมันยังขยายตัวในระดับ 140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อทั้งปีเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 7.8% ซึ่งพิจารณาโดยหลักการแล้ว เชื่อว่า เงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีไม่น่าจะถึง 2 หลัก แต่ยอมรับว่าบางเดือนอาจเพิ่มขึ้นถึง 2 หลักนั้น ก็มีความเป็นไปได้
นายศิริพล ระบุว่า ผลกระทบหลักต่อเงินเฟ้อปีนี้ คือ ราคาน้ำมัน โดยประเมินว่า หากราคาน้ำมันยังขึ้นอีกแบบไม่หยุด เงินเฟ้อในเดือนต่อไป ก็อาจสูงกว่า 9% ขณะที่ปัจจุบัน พบว่ามีการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น ทั้งก๊าซแอลพีจี และเอ็นจีวี ขณะที่ตะกร้าคำนวณเงินเฟ้อไม่ได้รวมกลุ่มนี้ไว้ จึงศึกษาทางวิชาการว่าจะนำน้ำหนักการใช้จ่ายพลังงานทดแทนสองชนิดนี้ เข้ามาคำนวณเงินเฟ้อใหม่
ทั้งนี้ การเปลี่ยนการคำนวณคงต้องเป็นวิชาการตามลักษณะการใช้จ่ายของประชาชน น้ำหนักมันต่างกัน เรื่องการใช้น้ำมันดีเซล เบนซิน ต้องหาค่าความเป็นจริง กรณีเอ็นจีวี แอลพีจี ที่ใช้มากขึ้น ก็ต้องดูตามความเป็นจริง กำลังดูอยู่ ถ้าไปใช้พลังงานทดแทนมาคำนวณทันที จะถูกหาว่าแต่งตัวเลข ผมกลัวที่สุด ต้องมีหลักวิชาการ ไม่งั้นเราเสร็จแน่ ผมเป็นนักวิชาการที่พูดแล้วต้องรับผิดชอบ
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการแก้ปัญหาเงินเฟ้อและบรรเทาภาระค่าครองชีพอยู่ตลอดเวลา โดยราคาสินค้าที่อยู่ในตะกร้าคำนวณ 373 รายการ มีสินค้าที่อยู่ในการดูแลของกรมการค้าภายใน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนในน้ำหนักคำนวณเพียง 20% ส่วนที่เหลือเป็นสินค้าที่อยู่ในการดูแลของหน่วยงานอื่น
ทั้งนี้ ในส่วนสินค้าที่กระทรวงพาณิชย์ดูแลโดยตรงได้สั่งการให้กรมการค้าภายในเน้นดูแลราคาอาหารสำเร็จรูป ทั้งกลุ่มอาหารเบ็ดเตล็ดและอาหารถุง เพราะเป็นกลุ่มสินค้าที่มีน้ำหนักการคำนวณเงินเฟ้อสูง
นอกจากนี้ ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้คัดเลือกสินค้าที่อยู่ในการดูแลของหน่วยงานอื่น และกำหนดว่า การดูแลราคาสินค้านั้นๆ ควรเป็นหน้าที่หน่วยงานใดเป็นหลัก พบว่า หลายรายการยังไม่มีหน่วยงานดูแลเฉพาะ เช่น หมวดเคหสถาน มีน้ำหนักคำนวณเงินเฟ้อ 19.45% จึงกำหนดจะหารือกับกระทรวงมหาดไทยถึงแนวทางการดูแลราคาสินค้าให้ชัดเจน และยังสั่งการให้กรมการค้าภายในพิจารณามาตรการพิเศษเพิ่มเติม คาดว่า จะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้