ตลาดนมข้นหวานมูลค่า 3,000 ล้านบาท หอมหวน เอฟแอนด์เอ็น แดรี่ส์ ชูสินค้าครบพอร์ตโฟลิโอ เขย่าบัลลังก์นมข้นหวานมะลิ ปั้น “ที พอท” สินค้าไฟท์ติ้งแบรนด์ชนเบิดวิงซ์ ชูจุดขายประกอบเครื่องดื่มชา กาแฟ วางราคา 19 บาท ทะลวงร้านกาแฟ
รายงานข่าวตลาดนมข้นหวาน เปิดเผยว่า หลังจากบริษัท เอฟแอนด์เอ็น แดรี่ส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ซื้อลิขสิทธิ์แบรนด์นมน้ำตราหมี คาร์เนชั่น และ ไมโล ของบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ล่าสุด ได้นำนมข้นหวานภายใต้แบรนด์ “ที พอท” ลงสู่ตลาดมาระยะหนึ่งแล้ว โดยวางราคาจำหน่าย 19 -19.50 บาท เมื่อเทียบกับนมตราหมีสินค้าของบริษัทจำหน่าย 23 บาท ถูกกว่า 3.50 บาท ซึ่งราคานมข้นหวาน ที พอท วางไว้ใกล้เคียงกับสินค้าของผู้นำตลาดอย่างนมข้นหวานตรามะลิ ซึ่งมี เบิดวิงซ์ เน้นกลยุทธ์ราคาจำหน่าย 19 บาท
ทั้งนี้ การส่ง ที พอท ลงสู่ตลาด ส่งผลให้ในกลุ่มนมข้นหวานของเอฟแอนด์เอ็น มีสินค้าในพอร์ตโฟลิโอครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยตราหมีวางตำแหน่งเดียวกับนมตรามะลิ ส่วน ที พอท วางตำแหน่งเป็นสินค้าไฟท์ติ้งแบรนด์ ชนกับ เบิดวิงซ์ นอกจากนี้ ยังมีสินค้ากลุ่มคาร์เนชั่นอีกที่เข้ามาเติมเต็มอีก อย่างไรก็ตาม สำหรับจุดเด่นของ ที พอท ชูจุดขายด้านการประกอบเครื่องดื่มชา กาแฟ โดยตรง เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่ โดยเฉพาะร้านรถเข็นหรือร้านธุรกิจกาแฟ ซึ่งนับว่าจะขยายตัวมากยิ่งขึ้น
ตลาดที่หอมหวนทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โฟร์โมสต์ได้ปรับภาพลักษณ์แบรนด์เรือใบในรอบ 40 ปี โดยเปิดตัวครีมเทียมข้นหวานและนมข้นจืด แม้ว่าตลาดจะมีอัตราการเติบโต 2% ซึ่งถือว่าไม่มากนัก แต่มีมูลค่าถึง 3,300 ล้านบาท โดยตลาดนมข้นหวาน คิดเป็นสัดส่วน 80% หรือมูลค่า 3,000 ล้านบาท มะลิเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 60% ซึ่งนับว่าเป็นผู้นำแบบเบ็ดเสร็จ แต่เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายของมะลิส่วนใหญ่เป็นกลุ่มมีอายุแล้ว ทำให้สินค้าไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นได้
อีกทั้งมะลิยังไม่มีนมข้นจืดเมื่อเทียบกับเอฟแอนด์เอ็น ซึ่งมีคาร์เนชั่นเป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ตลาดนมข้นจืดแม้ว่าจะมีมูลค่าตลาดไม่มากราว 500 ล้านบาท แต่ก็เป็นตลาดที่มีศักยภาพ เนื่องจากเป็นสินค้าที่ถูกให้ข้อมูลนำมาเป็นส่วนผสมของอาหาร หรือสามารถทำแทนกะทิ ทำให้ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามคงต้องจับตาดูทั้ง 3 ค่าย ได้แก่ เอฟแอนด์เอ็น โฟร์โมสต์ และมะลิ กลับการฟาดฟันในตลาดนมข้นหวานและนมข้นจืดในอนาคตกันต่อไป
รายงานข่าวตลาดนมข้นหวาน เปิดเผยว่า หลังจากบริษัท เอฟแอนด์เอ็น แดรี่ส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ซื้อลิขสิทธิ์แบรนด์นมน้ำตราหมี คาร์เนชั่น และ ไมโล ของบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ล่าสุด ได้นำนมข้นหวานภายใต้แบรนด์ “ที พอท” ลงสู่ตลาดมาระยะหนึ่งแล้ว โดยวางราคาจำหน่าย 19 -19.50 บาท เมื่อเทียบกับนมตราหมีสินค้าของบริษัทจำหน่าย 23 บาท ถูกกว่า 3.50 บาท ซึ่งราคานมข้นหวาน ที พอท วางไว้ใกล้เคียงกับสินค้าของผู้นำตลาดอย่างนมข้นหวานตรามะลิ ซึ่งมี เบิดวิงซ์ เน้นกลยุทธ์ราคาจำหน่าย 19 บาท
ทั้งนี้ การส่ง ที พอท ลงสู่ตลาด ส่งผลให้ในกลุ่มนมข้นหวานของเอฟแอนด์เอ็น มีสินค้าในพอร์ตโฟลิโอครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยตราหมีวางตำแหน่งเดียวกับนมตรามะลิ ส่วน ที พอท วางตำแหน่งเป็นสินค้าไฟท์ติ้งแบรนด์ ชนกับ เบิดวิงซ์ นอกจากนี้ ยังมีสินค้ากลุ่มคาร์เนชั่นอีกที่เข้ามาเติมเต็มอีก อย่างไรก็ตาม สำหรับจุดเด่นของ ที พอท ชูจุดขายด้านการประกอบเครื่องดื่มชา กาแฟ โดยตรง เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่ โดยเฉพาะร้านรถเข็นหรือร้านธุรกิจกาแฟ ซึ่งนับว่าจะขยายตัวมากยิ่งขึ้น
ตลาดที่หอมหวนทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โฟร์โมสต์ได้ปรับภาพลักษณ์แบรนด์เรือใบในรอบ 40 ปี โดยเปิดตัวครีมเทียมข้นหวานและนมข้นจืด แม้ว่าตลาดจะมีอัตราการเติบโต 2% ซึ่งถือว่าไม่มากนัก แต่มีมูลค่าถึง 3,300 ล้านบาท โดยตลาดนมข้นหวาน คิดเป็นสัดส่วน 80% หรือมูลค่า 3,000 ล้านบาท มะลิเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 60% ซึ่งนับว่าเป็นผู้นำแบบเบ็ดเสร็จ แต่เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายของมะลิส่วนใหญ่เป็นกลุ่มมีอายุแล้ว ทำให้สินค้าไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นได้
อีกทั้งมะลิยังไม่มีนมข้นจืดเมื่อเทียบกับเอฟแอนด์เอ็น ซึ่งมีคาร์เนชั่นเป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ตลาดนมข้นจืดแม้ว่าจะมีมูลค่าตลาดไม่มากราว 500 ล้านบาท แต่ก็เป็นตลาดที่มีศักยภาพ เนื่องจากเป็นสินค้าที่ถูกให้ข้อมูลนำมาเป็นส่วนผสมของอาหาร หรือสามารถทำแทนกะทิ ทำให้ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามคงต้องจับตาดูทั้ง 3 ค่าย ได้แก่ เอฟแอนด์เอ็น โฟร์โมสต์ และมะลิ กลับการฟาดฟันในตลาดนมข้นหวานและนมข้นจืดในอนาคตกันต่อไป