ในภาวะที่ทิศทางเศรษฐกิจค่อนข้างแย่ ผู้บริโภคเริ่มชะลอการใช้เงิน พร้อมมองหาช่องทางเสริมรายได้เพิ่มเติม เป็นโอกาสสำคัญที่ธุรกิจขายตรงจะมีอัตราการเติบโตได้อีกมากโข ล่าสุดนูสกิน ขายตรงสัญชาติอเมริกา ปลื้มสุดๆ ล่าสุดพบว่ายอดขายในอมริกาโตสูงสุด 20% ตั้งแต่ก่อตั้งมา ส่วนภูมิภาคอาเซียนครึ่งแรกโต 14% สูงกว่าปีก่อนที่ทำได้ 12%
นางเมลิซ่า คีอาโน ประธาน นู สกิน ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า ธุรกิจขายตรง ถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่ค่อนข้างแตกต่างจากธุรกิจอื่นๆ โดยเฉพาะในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างแย่ จะยิ่งพบว่ากลับมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นมาก น่าจะมาจากผู้บริโภคพยายามหารายได้เสริม ช่องทางธุรกิจขายตรงจึงกลายมาเป็นคำตอบ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนงานใหม่
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส อิงค์ (NYSE:NUS) ได้รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 1/2551 ออกมาแล้ว โดยมีรายได้ทั้งสิ้น 298.1 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ9 จากปีที่ผ่านมา กำไรรวมของบริษัทฯอยู่ที่ร้อยละ 81.8 สูงขึ้น 30 จุดเมื่อเทียบกับปีก่อน
เมื่อแยกผลประกอบการออกเป็นประจำแต่ละภูมิภาคแล้ว พบว่ามีอัตราการเติบโตขึ้นทั้งหมด โดยเฉพาะประเทศอเมริกา ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของนู สกิน หลังจากเปิดตัวธุรกิจมากว่า 25 ปี พบว่า ในช่วงไตรมาส1นี้ รายได้อยู่ที่ 50.4 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 19-20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน และถือเป็นตัวเลขการเติบโตที่สูงที่สุดที่เคยทำธุรกิจนี้มา จากปกติที่มีการเติบโตในแต่ละปีประมาณ 7% โดยสาเหตุที่ทำให้มีการเติบโตสูงแบบนี้ มาจากปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก
ในส่วนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ภาพรวมรายได้เติบโตขึ้น 14% สูงกว่าปีก่อนที่ทำได้ 12% เทียบจากช่วงเวลาเดียวกัน โดยประเทศที่มียอดขายสูงสุด คือ 1.ไทย 2. สิงคโปร์ 3.มาเลเซีย 4.อินโดนีเซีย 5.ฟิลิปปินส์ เรียงตามลำดับ ส่วนประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดคือ ฟิลิปปินส์ รองมาคือไทย ตามด้วยสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เป็นลำดับสุดท้าย
“มั่นใจว่าแต่ละประเทศที่ดูแลอยู่ รวมถึงบรูไน ที่เพิ่งเริ่มเข้าไปดำเนินธุรกิจนู สกิน ปีนี้ผลประกอบการต้องเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก มาจากกลยุทธ์ที่สำคัญ คือ การทำอย่างไรก็ได้ที่จะกระตุ้นให้ผู้แทนจำหน่ายสินค้า ตื่นเต้นไปกับการออกไปหาคน และการหารายได้ ซึ่งทางนูสกินก็ได้เตรียมเครื่องมือรองรับไว้แล้ว โดยเฉพาะในเรื่องการจัดทริปไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ของธุรกิจนู สกิน ในประเทศนั้นๆ และการออกสินค้าใหม่ อย่างต่อเนื่อง
สำหรับในเมืองไทย นู สกิน ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีเช่นกัน แม้ว่าจะมีปัจจัยลบหลายอย่าง ซึ่งครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เติบโตขึ้น 10% ทั้งปีคาดว่าน่าจะทำได้อย่างน้อย 10% เช่นกัน จาก 1,200 ล้านบาท ซึ่งนู สกิน ไทยแลนด์ วางเป้าหมายในอีก 2 ปีข้างหน้า ว่า จะต้องมีรายได้ที่ 2,000 ล้านบาท มองว่ามีความเป็นไปได้ที่สูงมาก หากเศรษฐกิจยังชะลอตัวอยู่
นางเมลิซ่า คีอาโน ประธาน นู สกิน ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า ธุรกิจขายตรง ถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่ค่อนข้างแตกต่างจากธุรกิจอื่นๆ โดยเฉพาะในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างแย่ จะยิ่งพบว่ากลับมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นมาก น่าจะมาจากผู้บริโภคพยายามหารายได้เสริม ช่องทางธุรกิจขายตรงจึงกลายมาเป็นคำตอบ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนงานใหม่
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส อิงค์ (NYSE:NUS) ได้รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 1/2551 ออกมาแล้ว โดยมีรายได้ทั้งสิ้น 298.1 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ9 จากปีที่ผ่านมา กำไรรวมของบริษัทฯอยู่ที่ร้อยละ 81.8 สูงขึ้น 30 จุดเมื่อเทียบกับปีก่อน
เมื่อแยกผลประกอบการออกเป็นประจำแต่ละภูมิภาคแล้ว พบว่ามีอัตราการเติบโตขึ้นทั้งหมด โดยเฉพาะประเทศอเมริกา ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของนู สกิน หลังจากเปิดตัวธุรกิจมากว่า 25 ปี พบว่า ในช่วงไตรมาส1นี้ รายได้อยู่ที่ 50.4 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 19-20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน และถือเป็นตัวเลขการเติบโตที่สูงที่สุดที่เคยทำธุรกิจนี้มา จากปกติที่มีการเติบโตในแต่ละปีประมาณ 7% โดยสาเหตุที่ทำให้มีการเติบโตสูงแบบนี้ มาจากปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก
ในส่วนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ภาพรวมรายได้เติบโตขึ้น 14% สูงกว่าปีก่อนที่ทำได้ 12% เทียบจากช่วงเวลาเดียวกัน โดยประเทศที่มียอดขายสูงสุด คือ 1.ไทย 2. สิงคโปร์ 3.มาเลเซีย 4.อินโดนีเซีย 5.ฟิลิปปินส์ เรียงตามลำดับ ส่วนประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดคือ ฟิลิปปินส์ รองมาคือไทย ตามด้วยสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เป็นลำดับสุดท้าย
“มั่นใจว่าแต่ละประเทศที่ดูแลอยู่ รวมถึงบรูไน ที่เพิ่งเริ่มเข้าไปดำเนินธุรกิจนู สกิน ปีนี้ผลประกอบการต้องเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก มาจากกลยุทธ์ที่สำคัญ คือ การทำอย่างไรก็ได้ที่จะกระตุ้นให้ผู้แทนจำหน่ายสินค้า ตื่นเต้นไปกับการออกไปหาคน และการหารายได้ ซึ่งทางนูสกินก็ได้เตรียมเครื่องมือรองรับไว้แล้ว โดยเฉพาะในเรื่องการจัดทริปไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ของธุรกิจนู สกิน ในประเทศนั้นๆ และการออกสินค้าใหม่ อย่างต่อเนื่อง
สำหรับในเมืองไทย นู สกิน ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีเช่นกัน แม้ว่าจะมีปัจจัยลบหลายอย่าง ซึ่งครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เติบโตขึ้น 10% ทั้งปีคาดว่าน่าจะทำได้อย่างน้อย 10% เช่นกัน จาก 1,200 ล้านบาท ซึ่งนู สกิน ไทยแลนด์ วางเป้าหมายในอีก 2 ปีข้างหน้า ว่า จะต้องมีรายได้ที่ 2,000 ล้านบาท มองว่ามีความเป็นไปได้ที่สูงมาก หากเศรษฐกิจยังชะลอตัวอยู่