เศรษฐกิจ การเมือง สะเทือนธุรกิจบิวตี้ และ สปา ร่ายพิษยาวตั้งแต่ปีก่อน รายได้ถดถอย ผู้ประกอบการถอดใจ “สิเรียม บิวตี้” ฮึดสู้ แหวกตลาดใหม่ ทุ่ม 40 ล้าน ผุดร้านสลิมมิ่ง พลัส บาย สิเรียม 4 สาขาปีนี้ ให้บริการสลิมมิ่งรูปแบบสปา หลังพบแนวโน้มลูกค้ายังห่วงเรื่องรูปร่าง พร้อมเทอีก 5-10 ล้าน เพิ่มไลน์สินค้ากลุ่มเวชสำอางอีก 3 ตัว ลุยตลาดปลายเดือนหน้า เจาะช่องทางโมเดิร์นเทรด และร้านขายยา มั่นใจสิ้นปีรายได้โตพรวดอีก 1 เท่าตัว คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 60-70 ล้านบาท
นายชโลธร เส็งสมวงศ์ กรรมการ บริษัท นันท์ลภัส จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านแฟรนไชส์ให้บริการความงามและสุขภาพในรูปแบบสปา ภายใต้ชื่อ สิเรียม บิวตี้ แคร์ เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า จากปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองที่เกิดขึ้น ในแง่ของผู้บริโภค เชื่อว่า สามารถทำใจรับกับสถานการณ์นี้ได้ เพราะยังต้องใช้จ่ายกันอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิง ซึ่งยังคงให้ความสำคัญกับความสวยความงามและรูปร่างอยู่ แต่เท่าที่สังเกต พบว่า ธุรกิจประเภทบิวตี้ หรือให้บริการสปาอย่างใดอย่างหนึ่ง เพียงอย่างเดียวนั้น กลับเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างสูง แต่สำหรับกลุ่มสลิมมิ่งแล้ว กลับยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีอยู่ ทั้งนี้ มองว่า ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญเรื่องของสุขภาพและการดูแลรูปร่างอยู่
ดังนั้น ทางบริษัทจึงได้วางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทจะชูบริการด้านสลิมมิ่ง เป็นเรื่องในการดำเนินธุรกิจต่อไป โดยได้เพิ่มการบริการทางด้านสลิมมิ่งขึ้นมา จากเดิมที่มีเพียงเรื่องของบิวตี้ โดยปีนี้บริษัทได้เตรียมงบประมาณไว้กว่า 40 ล้านบาท สำหรับเปิดร้านทั้งหมด 4 สาขา เฉลี่ยลงทุนสาขาละ 10 ล้านบาท ภายใต้ชื่อ “สลิมมิ่ง พลัส บาย สิเรียม” ให้บริการทางด้านสลิมมิ่ง ในรูปแบบสปาโดยเฉพาะ รวมถึงมีการให้บริการด้านบิวตี้ควบคู่ไปด้วย
ทั้งนี้ ได้เปิดบริการแล้ว 2 สาขา คือ เดอะ มอลล์ บางแค และ เซ็นทรัล ลาดพร้าว ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา พบว่า ลูกค้าให้การตอบรับสูงมาก ส่วนอีก 2 สาขาที่เหลือนั้น กำลังอยู่ในขั้นตอนมองหาทำเลอยู่ ขณะที่ในปีหน้าเตรียมแผนที่จะเปิดไว้แล้วอีก 3-4 สาขา เช่นกัน ทั้งนี้เบื้องต้นจะเป็นการลงทุนเปิดให้บริการเอง ส่วนในอนาคตจะมีการขายแฟรนไชส์ร่วมด้วย
นอกจากนี้ ในส่วนของผลิตภัณฑ์ จากเดิมที่มีอยู่ 2 ไลน์ คือ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับบิวตี้ และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสปา ปีนี้ทางบริษัทได้ทุ่มงบประมาณอีก 5-10 ล้านบาท สำหรับคิดค้นและวิจัยไลน์สินค้าใหม่ขึ้นมา เกี่ยวกับเวชสำอาง 3 ชนิด คือ ไวท์เทนนิง, กันแดด และ แอนตี้ เอจ ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงปลายเดือน ก.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งช่องทางการจำหน่ายจะมุ่งไปที่โมเดิร์นเทรดต่างๆ ทั้งร้านวัตสัน และร้านบู๊ทส์ รวมถึงร้านขายยาด้วย ส่วนอีก 2 ไลน์ ยังคงวางจำหน่ายที่ร้านสิเรียมบิวตี้อยู่ เพราะมองว่ากำลังซื้อในช่องทางโมเดิร์นเทรดหดตัวลง
นายชโลธร กล่าวต่อว่า รายได้ในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทยังมีการเติบโตอยู่กว่า 20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวของปีที่ผ่านมา ซึ่งเกิดจากการเปิดสาขาเพิ่ม รวมถึงให้บริการด้านสลิมมิ่งเข้ามา และจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งจากการตอบรับที่ดีเกี่ยวกับสลิมมิ่งนี้เอง คาดว่าสิ้นปีบริษัทฯจะมีรายได้เติบโตขึ้นอีก 1 เท่าตัว คิดเป็นมูลค่ากว่า 60-70 ล้านบาท จากปีก่อน ที่ทำได้ประมาณ 30 ล้านบาท
นายชโลธร เส็งสมวงศ์ กรรมการ บริษัท นันท์ลภัส จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านแฟรนไชส์ให้บริการความงามและสุขภาพในรูปแบบสปา ภายใต้ชื่อ สิเรียม บิวตี้ แคร์ เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า จากปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองที่เกิดขึ้น ในแง่ของผู้บริโภค เชื่อว่า สามารถทำใจรับกับสถานการณ์นี้ได้ เพราะยังต้องใช้จ่ายกันอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิง ซึ่งยังคงให้ความสำคัญกับความสวยความงามและรูปร่างอยู่ แต่เท่าที่สังเกต พบว่า ธุรกิจประเภทบิวตี้ หรือให้บริการสปาอย่างใดอย่างหนึ่ง เพียงอย่างเดียวนั้น กลับเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างสูง แต่สำหรับกลุ่มสลิมมิ่งแล้ว กลับยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีอยู่ ทั้งนี้ มองว่า ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญเรื่องของสุขภาพและการดูแลรูปร่างอยู่
ดังนั้น ทางบริษัทจึงได้วางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทจะชูบริการด้านสลิมมิ่ง เป็นเรื่องในการดำเนินธุรกิจต่อไป โดยได้เพิ่มการบริการทางด้านสลิมมิ่งขึ้นมา จากเดิมที่มีเพียงเรื่องของบิวตี้ โดยปีนี้บริษัทได้เตรียมงบประมาณไว้กว่า 40 ล้านบาท สำหรับเปิดร้านทั้งหมด 4 สาขา เฉลี่ยลงทุนสาขาละ 10 ล้านบาท ภายใต้ชื่อ “สลิมมิ่ง พลัส บาย สิเรียม” ให้บริการทางด้านสลิมมิ่ง ในรูปแบบสปาโดยเฉพาะ รวมถึงมีการให้บริการด้านบิวตี้ควบคู่ไปด้วย
ทั้งนี้ ได้เปิดบริการแล้ว 2 สาขา คือ เดอะ มอลล์ บางแค และ เซ็นทรัล ลาดพร้าว ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา พบว่า ลูกค้าให้การตอบรับสูงมาก ส่วนอีก 2 สาขาที่เหลือนั้น กำลังอยู่ในขั้นตอนมองหาทำเลอยู่ ขณะที่ในปีหน้าเตรียมแผนที่จะเปิดไว้แล้วอีก 3-4 สาขา เช่นกัน ทั้งนี้เบื้องต้นจะเป็นการลงทุนเปิดให้บริการเอง ส่วนในอนาคตจะมีการขายแฟรนไชส์ร่วมด้วย
นอกจากนี้ ในส่วนของผลิตภัณฑ์ จากเดิมที่มีอยู่ 2 ไลน์ คือ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับบิวตี้ และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสปา ปีนี้ทางบริษัทได้ทุ่มงบประมาณอีก 5-10 ล้านบาท สำหรับคิดค้นและวิจัยไลน์สินค้าใหม่ขึ้นมา เกี่ยวกับเวชสำอาง 3 ชนิด คือ ไวท์เทนนิง, กันแดด และ แอนตี้ เอจ ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงปลายเดือน ก.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งช่องทางการจำหน่ายจะมุ่งไปที่โมเดิร์นเทรดต่างๆ ทั้งร้านวัตสัน และร้านบู๊ทส์ รวมถึงร้านขายยาด้วย ส่วนอีก 2 ไลน์ ยังคงวางจำหน่ายที่ร้านสิเรียมบิวตี้อยู่ เพราะมองว่ากำลังซื้อในช่องทางโมเดิร์นเทรดหดตัวลง
นายชโลธร กล่าวต่อว่า รายได้ในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทยังมีการเติบโตอยู่กว่า 20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวของปีที่ผ่านมา ซึ่งเกิดจากการเปิดสาขาเพิ่ม รวมถึงให้บริการด้านสลิมมิ่งเข้ามา และจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งจากการตอบรับที่ดีเกี่ยวกับสลิมมิ่งนี้เอง คาดว่าสิ้นปีบริษัทฯจะมีรายได้เติบโตขึ้นอีก 1 เท่าตัว คิดเป็นมูลค่ากว่า 60-70 ล้านบาท จากปีก่อน ที่ทำได้ประมาณ 30 ล้านบาท