xs
xsm
sm
md
lg

ส.ผู้จัดพิมพ์เร่งปั้นหนอนหนังสือ ชงคลังลดภาษีซื้อหนังสือบริจาค

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย แนะรัฐบาลให้สนใจพัฒนาเยาวชนด้วยการอ่านหนังสือ เตรียมร่างหนังสือถึงกระทรวงการคลัง พิจารณาให้ลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ที่ซื้อหนังสือเพื่อบริจาค หวังยืมมือเอกชน ช่วยกระตุ้นเด็กไทยรักการอ่าน หลังเวียดนามทำสถิติการอ่านหนังสือเลยหน้าไปหลายขุม 60 เล่มต่อคนต่อปี ส่วนเด็กไทยจิ๊บจ๊อยแค่ 2 เล่มต่อคนต่อปี

นางริสรวล  อร่ามเจริญ  นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (ส.พ.จ.ท.) เปิดเผยว่า  ทางสมาคมเตรียมร่างหนังสือเพื่อยื่นเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถึงการขอให้กระทรวงการคลังพิจารณาลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ซื้อหนังสือเพื่อนำไปบริจาค ซึ่งอาจจะมากกว่า หรือเท่ากับการบริจาคในรูปแบบอื่นๆ ก็ได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะทำให้เด็กไทยมีหนังสืออ่านเพิ่มขึ้น โดยรัฐบาลไม่ต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้น เพื่อมาจัดซื้อหนังสือและสร้างห้องสมุด  ล่าสุดได้ยื่นหนังสือขอเข้าพบ นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.กระทรวงการคลัง ไปแล้ว เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

“ในแต่ละปีงบประมาณเพื่อจัดซื้อหนังสือและสร้างห้องสมุดของรัฐบาลมีน้อยมาก เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของไทย ทำให้การอ่านหนังสือของเยาวชน และคนไทย มีการพัฒนาอย่างล่าช้า จะมีการตื่นตัวเรื่องการอ่านก็เพราะสังคมในเมืองหลวงและเมืองใหญ่เท่านั้น ดังนั้น หากรัฐสามารถสร้างแรงจูงใจเชิญชวนให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดซื้อหนังสือไปบริจาคให้เด็กในชนบทได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะสามารถเป็นกิจกรรม CSR ที่ทุกองค์กรเอกชนอาจหยิบขึ้นมาดำเนินการ ช่วยพัฒนาเด็กไทยได้อีกแรงหนึ่ง”

นอกจากนั้น ยังต้องการให้รัฐบาลหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาเยาวชนจากการอ่านหนังสือ เพื่อการพัฒนาประเทศชาติในอนาคต โดยกำหนดให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ  โดยไม่จำกัดแค่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้น แต่ให้หน่วยงานของรัฐบาลที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับประชากรของประเทศ ได้ร่วมดำเนินการและกำหนดทิศทางการทำงานเพื่อการพัฒนาร่วมกัน  เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีหน้าที่ดูแลงานเรื่องของสถานพินิจเด็กและเยาวชนด้วย เป็นต้น  ซึ่งแนวคิดนี้ก็ได้เสนอ ไปยัง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่เดือนเมษายน เช่นกัน

“สถิติการอ่านหนังสือของเด็กไทยต่อปีน้อยมาก เมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกันคือ เฉลี่ยเพียง 2 เล่มต่อปี โดย สิงคโปร์ มีการอ่านเป็นอันดับ 1 ขณะที่ มาเลเซีย ก็มีการอ่านมากกว่าเรา แม้กระทั่งประเทศเวียดนาม ซึ่งรัฐบาลเขาเห็นความสำคัญเรื่องการพัฒนาคนด้วยการอ่านหนังสือ จึงมีนโยบายสนับสนุนชัดเจน ปัจจุบันเด็กเวียดนามอ่านหนังสือเฉลี่ย 50-60 เล่มต่อปี ดังนั้น รัฐบาลไทยก็น่าที่จะหันมาให้ความสำคัญเรื่องนี้เช่นกัน เพราะเยาวชนเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของประเทศที่ควรใส่ใจดูแล”

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการกระตุ้นเด็กไทยให้เข้าถึง และเปิดกว้างทางความรู้ด้วยการปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน การใช้ห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ และการใช้หนังสือเพื่อเป็นเครื่องมือในการก่อเกิดความรู้ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ  จึงได้ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ กรุงเทพมหานคร จัดงาน “เทศกาลหนังสือเด็กและเยาวชน ครั้งที่ 6” โดยปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-20 ก.ค.2551 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  ภายใต้แนวคิด “สวนสุข สนุกอ่าน” เพื่อให้เกิดความลงตัวระหว่างสื่อการเรียนรู้สมัยโบราณและสมัยใหม่ ที่จะจูงใจให้เด็ก เยาวชน และผู้ปกครองสนใจเข้าร่วมงานเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีผู้เข้าชมงานราว 1 แสนคนต่อวัน ขณะที่ปีนี้ตรงกับช่วงวันหยุดเทศกาลเข้าพรรษา  หากครอบครัวใดไม่ได้เดินทางออกไปเที่ยวก็น่าที่จะสนใจมาเที่ยวชมงานนี้ได้มากกว่าปีก่อน  ส่วนรูปแบบงาน แบ่งออกเป็น 3-4 โซน ครอบคลุมเด็กทุกวัย มีการแสดงนิทรรศการของเล่นสมัยคุณปู่ปะทะคอมมิค เฟสติวัล พร้อมกิจกรรมบันเทิงอื่นๆ อีกมากมาย
กำลังโหลดความคิดเห็น