ธุรกิจรับเหมาอืด พิษน้ำมันแพงกดต้นทุนขนส่ง - วัสุดก่อสร้างพุ่ง แถมปริมาณงานน้อยลง เช่นเดียวกับรายได้และกำไรที่มีน้อยนิด วอนภาครัฐเข้ามาดูแลช่วยเหลือ โอดไร้หน่วยงานเหลียวแล พร้อมหวังโครงการเมกะโปรเจกต์ช่วยกระตุ้น ด้าน "เนาวรัตน์พัฒนาการ" และ "แอสคอนคอนสตรัคชั่น" ยืนยันความพร้อมเข้าร่วมประมูลรถไฟฟ้า สายต่อไปที่จะมีการประกวดราคาในอีก 2 เดือนข้างหน้า ชูเทคโนโลยี - กำลังคน-เครื่องมือไร้ปัญหา
แหล่งข่าวจากบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR เปิดเผยว่า จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินธุรกิจของบริษัท เนื่องจากราคาวัสดุก่อสร้างสูงขึ้น แต่งานที่บริษัทได้เซ็นสัญญาก่อสร้างไปแล้วไม่สามารถปรับราคาขึ้นตามต้นทุนที่พุ่งขึ้นได้ เป็นเหตุให้กำไรลดลงและบางโครงการยังประสบปัญหาขาดทุน รวมถึงโครงการใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นยังได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน ราคาเหล็ก ปูนซีเมนต์ ที่ปรับตัวขึ้นตามเช่นกัน นอกจากนี้ปัญหาดังกล่าวยังทำให้รัฐบาลยกเลิก หรือชะลอโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้น ณ ขณะนี้
"รายได้ของบริษัทเกือบทุกไตรมาสที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ยกเว้นในไตรมาสแรกปีนี้บริษัทมีรายน้อยกว่าทุกไตรมาสโดยมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 900 ล้านบาท จากภาวะดังกล่าวเป็นผลมาจากราคาของน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นมากที่สุดในรอบปีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนทำให้ราคาสินค้าต่างๆปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมัน ส่งผลให้งานที่จะเข้ามามีน้อยกว่าปีที่ผ่านมา อีกทั้งการแข่งขันในท้องตลาดมีมากขึ้นตามไปด้วย"
ส่วนการที่ภาครัฐมีมาตราการช่วยเหลือประชาชนด้วยการลดราคาค่าการกลั่นน้ำมันดีเซลลดลงลิตรละ 1 บาท ส่งผลให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงมาบ้าง โดยอาจจะทำให้ราคาสินค้าไม่ปรับตัวสูงขึ้นไปกว่านี้ แต่ยังไม่แน่ใจว่านโบายดังกล่าวจะเป็นจริงอย่างที่ประกาศหรือไม่
อย่างไรก็ตาม สำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานหรือกระทรวงใดเข้ามาดูแลในเรื่องของราคาวัสดุก่อสร้าง ทำให้เกิดการแข่งขันในเรื่องราคากันอย่างรุนแรง ส่งผลให้บริษัทมีต้นทุนสูงขึ้นในขณะที่ยอดขายได้ปรับตัวลดลงจากที่ผ่านมา อีกทั้งสินค้ามีราคาแพงขึ้นทำให้ผู้บริโภคมีจำนวนลดน้อยลง ทำให้ภาครัฐมีเงินได้จากภาษีน้อยลงส่งผลให้งบประมาณก่อสร้างต่างๆจะลดลงตามไปด้วย จึงอยากให้รัฐบาลจัดตั้งหน่วยงานเข้ามาดูแล เช่นเดียวกันกับอีกหลายอุตสาหกรรม อย่างเช่น การค้าขายที่มีกระทรวงพาณิชย์เข้ามาดูแล หรือการเกษตร ที่มีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้ามาควบคุมราคาโดยการรับประกันราคาสินค้าเกษตรจากภาครัฐ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามหากมีโครงการเมกะโปรเจกต์เกิดขึ้นจะมีผลดีแน่นอน เพราะจะทำให้มีนักลงทุนเข้ามาซื้อมากขึ้นกว่าเดิม มีดีมานซ์ซัพพลายเพิ่มขึ้น สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่บริษัทได้ร่วมประมูลนั้น บริษัทมีความมั่นใจในการทำงานและมีความพร้อมในการก่อสร้างทั้งกำลังคน งบประมาณและเครื่องจักร ส่วนราคาที่เสนอไปนั้นมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ในปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่อยู่ในมือแล้วประมาณ 20 โครงการ แบ่งเป็นโครงการที่เซ็นสัญญาแล้วและโครงการที่รอเซ็นสัญญา ส่วนโครงการใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ทางบริษัทกำลังรอดูภาวะตลาดก่อน
ด้านนายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสคอนคอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASCON กล่าวว่า จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบ โดยราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นมีผลทำให้ต้นทุนรับเหมาก่อสร้างเพิ่ม ซึ่งการที่บริษัทจะทำสัญญาการก่อสร้างล่วงหน้าย่อมได้รับผลกระทบไปด้วยเพราะราคาสินค้าต่างๆไม่สามารถกำหนดราคาที่แน่นอนได้
"ยอมรับว่าค่าวัสดุก่อสร้างและราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมาสูงนั้นกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้น(Gross Profit Margin) ให้ปรับลดลง ซึ่งผู้ประกอบการในธุรกิจก็ได้รับผลกระทบดังกล่าวด้วยเช่นกัน" นายพัฒนพงษ์ กล่าว
สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-ตลิ่งชัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แอสคอนคอนสตรัคชั่น กล่าวยืนยันว่าบริษัทมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเตรียมแผนงาน งบประมาณ กำลังคนหรือแม้กระทั้งเครื่องจักร ส่วนในเรื่องของราคาการประมูลต้องดูอีก 2เดือนข้างหน้าที่จะต้องยื่นซองประมูลว่าราคาจะเป็นอย่างไร และในตอนนี้บริษัทมีโครงการต่างๆที่เซ็นสัญญาแล้วอยู่ในมือประมาณ 10 โครงการซึ่งมีมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ บมจ.แอสคอนคอนสตรัคชั่น ชี้แจงถึงการเข้าประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงว่า บริษัทไม่ได้เข้าร่วมประมูลงานดังกล่าวร่วมกับพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว เนื่องจากกฎหมายได้เปิดทางให้บริษัทต่างชาติเข้ามาประมูลงานเองได้ 100% จึงทำให้พันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่นสนใจที่จะเข้าประมูลเอง นอกจากนี้ยืนยันว่าไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับข้อตกลงใดๆ กับพันธมิตรจึงไม่ได้เข้าร่วมประมูลโครงการรถไฟฟ้าร่วมกัน ดังนั้นการเข้าประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บริษัทจึงจะเข้าร่วมประมูลกับพันธมิตรภายในประเทศแทนและจะยังคงเดินหน้าที่ประมูลโครงการรถไฟฟ้าทุกสายอยู่ ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการมองหาพันธมิตรเพื่อเข้าร่วมประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายอื่นด้วย
ส่วนแนวโน้มของผลประกอบการไตรมาส 2/2551 อาจไม่แตกต่างจากไตรมาส 1/2551 ที่ผ่านมา ซึ่งขาดทุน 4.08 ล้านบาท เนื่องจากในไตรดังกล่าวบริษัทอาจยังคงไม่สามารถรับรู้รายได้ จากโครงการคอนโดมิเนียม The Inspire Rama9 ที่มีมูลค่าโครงการประมาณ 1,500 ล้านบาท ได้ โดยคาดว่าน่าจะสามารถรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมดังกล่าวได้ในไตรมาส 3/51ปีนี้ โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้ประมาณ 70%ของมูลค่าโครงการทั้งหมด
ทั้งนี้แม้ช่วงนี้ราคาน้ำมันและราคาค่าวัสดุก่อสร้างจะปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่จากการที่บริษัทมีการบริหารจัดการที่ดี รวมถึงระมัดระวังในการเซ็นสัญญางานใหม่จึงน่าจะช่วยให้รายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3,000 ล้านบาท หรือขยายตัว 50% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,420 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทอาจมีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมโครงการใหม่เพิ่มเติม แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด โดยโครงการคอนโดมิเนียมโครงการใหม่นั้น จะเป็นการซื้อโครงการเก่ามาพัฒนาใหม่ ซึ่งประหยัดต้นทุนมากกว่าการที่เข้าไปพัฒนาเอง 100 %
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน นำโดย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ตกลงที่จะลดราคาขายน้ำมันดีเซลหน้าโรงกลั่นลง 3 บาทต่อลิตรจากราคาท้องตลาดเป็นเวลา 6 เดือน (มิถุนายน -พฤศจิกายน)โดยจำหน่ายให้เฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นค่อนข้างมาก ซึ่งเบื้องต้นคือผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะ และขสมก. และเตรียมพิจารณาขยายไปสู่กลุ่มอื่น เช่น กลุ่มเกษตรกร เป็นต้น
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTT กล่าวว่า การลดราคาดีเซลลง 3 บาทต่อลิตรให้กับบางกลุ่ม ถือว่าเหมาะสมกว่าการให้หักค่าการกลั่นน้ำมันดีเซลงลิตรละ 1 บาทจากยอดขายทั้งหมดเพื่อสมทบเข้ากองทุนซึ่งจะมีผลกระทบกับบริษัทมากกว่า โดยปริมาณน้ำมันดีเซลที่จะจำหน่วยในราคาปรับลดที่ 122 ล้านลิตรเป็นความสมัครใจของผู้ประกอบการที่จะช่วยเหลือประชาชนเพื่อบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ประชาชนเดือดร้อน ซึ่งถือเป็นปริมาณที่ไม่สูงมากนัก จากปริมาณยอดการใช้ดีเซลในประเทศที่ตกวันละ 50 ล้านลิตร หรือ เดือนละ 1,500 ล้านลิตร หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 8%
แหล่งข่าวจากบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR เปิดเผยว่า จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินธุรกิจของบริษัท เนื่องจากราคาวัสดุก่อสร้างสูงขึ้น แต่งานที่บริษัทได้เซ็นสัญญาก่อสร้างไปแล้วไม่สามารถปรับราคาขึ้นตามต้นทุนที่พุ่งขึ้นได้ เป็นเหตุให้กำไรลดลงและบางโครงการยังประสบปัญหาขาดทุน รวมถึงโครงการใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นยังได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน ราคาเหล็ก ปูนซีเมนต์ ที่ปรับตัวขึ้นตามเช่นกัน นอกจากนี้ปัญหาดังกล่าวยังทำให้รัฐบาลยกเลิก หรือชะลอโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้น ณ ขณะนี้
"รายได้ของบริษัทเกือบทุกไตรมาสที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ยกเว้นในไตรมาสแรกปีนี้บริษัทมีรายน้อยกว่าทุกไตรมาสโดยมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 900 ล้านบาท จากภาวะดังกล่าวเป็นผลมาจากราคาของน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นมากที่สุดในรอบปีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนทำให้ราคาสินค้าต่างๆปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมัน ส่งผลให้งานที่จะเข้ามามีน้อยกว่าปีที่ผ่านมา อีกทั้งการแข่งขันในท้องตลาดมีมากขึ้นตามไปด้วย"
ส่วนการที่ภาครัฐมีมาตราการช่วยเหลือประชาชนด้วยการลดราคาค่าการกลั่นน้ำมันดีเซลลดลงลิตรละ 1 บาท ส่งผลให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงมาบ้าง โดยอาจจะทำให้ราคาสินค้าไม่ปรับตัวสูงขึ้นไปกว่านี้ แต่ยังไม่แน่ใจว่านโบายดังกล่าวจะเป็นจริงอย่างที่ประกาศหรือไม่
อย่างไรก็ตาม สำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานหรือกระทรวงใดเข้ามาดูแลในเรื่องของราคาวัสดุก่อสร้าง ทำให้เกิดการแข่งขันในเรื่องราคากันอย่างรุนแรง ส่งผลให้บริษัทมีต้นทุนสูงขึ้นในขณะที่ยอดขายได้ปรับตัวลดลงจากที่ผ่านมา อีกทั้งสินค้ามีราคาแพงขึ้นทำให้ผู้บริโภคมีจำนวนลดน้อยลง ทำให้ภาครัฐมีเงินได้จากภาษีน้อยลงส่งผลให้งบประมาณก่อสร้างต่างๆจะลดลงตามไปด้วย จึงอยากให้รัฐบาลจัดตั้งหน่วยงานเข้ามาดูแล เช่นเดียวกันกับอีกหลายอุตสาหกรรม อย่างเช่น การค้าขายที่มีกระทรวงพาณิชย์เข้ามาดูแล หรือการเกษตร ที่มีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้ามาควบคุมราคาโดยการรับประกันราคาสินค้าเกษตรจากภาครัฐ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามหากมีโครงการเมกะโปรเจกต์เกิดขึ้นจะมีผลดีแน่นอน เพราะจะทำให้มีนักลงทุนเข้ามาซื้อมากขึ้นกว่าเดิม มีดีมานซ์ซัพพลายเพิ่มขึ้น สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่บริษัทได้ร่วมประมูลนั้น บริษัทมีความมั่นใจในการทำงานและมีความพร้อมในการก่อสร้างทั้งกำลังคน งบประมาณและเครื่องจักร ส่วนราคาที่เสนอไปนั้นมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ในปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่อยู่ในมือแล้วประมาณ 20 โครงการ แบ่งเป็นโครงการที่เซ็นสัญญาแล้วและโครงการที่รอเซ็นสัญญา ส่วนโครงการใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ทางบริษัทกำลังรอดูภาวะตลาดก่อน
ด้านนายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสคอนคอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASCON กล่าวว่า จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบ โดยราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นมีผลทำให้ต้นทุนรับเหมาก่อสร้างเพิ่ม ซึ่งการที่บริษัทจะทำสัญญาการก่อสร้างล่วงหน้าย่อมได้รับผลกระทบไปด้วยเพราะราคาสินค้าต่างๆไม่สามารถกำหนดราคาที่แน่นอนได้
"ยอมรับว่าค่าวัสดุก่อสร้างและราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมาสูงนั้นกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้น(Gross Profit Margin) ให้ปรับลดลง ซึ่งผู้ประกอบการในธุรกิจก็ได้รับผลกระทบดังกล่าวด้วยเช่นกัน" นายพัฒนพงษ์ กล่าว
สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-ตลิ่งชัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แอสคอนคอนสตรัคชั่น กล่าวยืนยันว่าบริษัทมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเตรียมแผนงาน งบประมาณ กำลังคนหรือแม้กระทั้งเครื่องจักร ส่วนในเรื่องของราคาการประมูลต้องดูอีก 2เดือนข้างหน้าที่จะต้องยื่นซองประมูลว่าราคาจะเป็นอย่างไร และในตอนนี้บริษัทมีโครงการต่างๆที่เซ็นสัญญาแล้วอยู่ในมือประมาณ 10 โครงการซึ่งมีมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ บมจ.แอสคอนคอนสตรัคชั่น ชี้แจงถึงการเข้าประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงว่า บริษัทไม่ได้เข้าร่วมประมูลงานดังกล่าวร่วมกับพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว เนื่องจากกฎหมายได้เปิดทางให้บริษัทต่างชาติเข้ามาประมูลงานเองได้ 100% จึงทำให้พันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่นสนใจที่จะเข้าประมูลเอง นอกจากนี้ยืนยันว่าไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับข้อตกลงใดๆ กับพันธมิตรจึงไม่ได้เข้าร่วมประมูลโครงการรถไฟฟ้าร่วมกัน ดังนั้นการเข้าประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บริษัทจึงจะเข้าร่วมประมูลกับพันธมิตรภายในประเทศแทนและจะยังคงเดินหน้าที่ประมูลโครงการรถไฟฟ้าทุกสายอยู่ ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการมองหาพันธมิตรเพื่อเข้าร่วมประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายอื่นด้วย
ส่วนแนวโน้มของผลประกอบการไตรมาส 2/2551 อาจไม่แตกต่างจากไตรมาส 1/2551 ที่ผ่านมา ซึ่งขาดทุน 4.08 ล้านบาท เนื่องจากในไตรดังกล่าวบริษัทอาจยังคงไม่สามารถรับรู้รายได้ จากโครงการคอนโดมิเนียม The Inspire Rama9 ที่มีมูลค่าโครงการประมาณ 1,500 ล้านบาท ได้ โดยคาดว่าน่าจะสามารถรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมดังกล่าวได้ในไตรมาส 3/51ปีนี้ โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้ประมาณ 70%ของมูลค่าโครงการทั้งหมด
ทั้งนี้แม้ช่วงนี้ราคาน้ำมันและราคาค่าวัสดุก่อสร้างจะปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่จากการที่บริษัทมีการบริหารจัดการที่ดี รวมถึงระมัดระวังในการเซ็นสัญญางานใหม่จึงน่าจะช่วยให้รายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3,000 ล้านบาท หรือขยายตัว 50% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,420 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทอาจมีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมโครงการใหม่เพิ่มเติม แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด โดยโครงการคอนโดมิเนียมโครงการใหม่นั้น จะเป็นการซื้อโครงการเก่ามาพัฒนาใหม่ ซึ่งประหยัดต้นทุนมากกว่าการที่เข้าไปพัฒนาเอง 100 %
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน นำโดย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ตกลงที่จะลดราคาขายน้ำมันดีเซลหน้าโรงกลั่นลง 3 บาทต่อลิตรจากราคาท้องตลาดเป็นเวลา 6 เดือน (มิถุนายน -พฤศจิกายน)โดยจำหน่ายให้เฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นค่อนข้างมาก ซึ่งเบื้องต้นคือผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะ และขสมก. และเตรียมพิจารณาขยายไปสู่กลุ่มอื่น เช่น กลุ่มเกษตรกร เป็นต้น
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTT กล่าวว่า การลดราคาดีเซลลง 3 บาทต่อลิตรให้กับบางกลุ่ม ถือว่าเหมาะสมกว่าการให้หักค่าการกลั่นน้ำมันดีเซลงลิตรละ 1 บาทจากยอดขายทั้งหมดเพื่อสมทบเข้ากองทุนซึ่งจะมีผลกระทบกับบริษัทมากกว่า โดยปริมาณน้ำมันดีเซลที่จะจำหน่วยในราคาปรับลดที่ 122 ล้านลิตรเป็นความสมัครใจของผู้ประกอบการที่จะช่วยเหลือประชาชนเพื่อบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ประชาชนเดือดร้อน ซึ่งถือเป็นปริมาณที่ไม่สูงมากนัก จากปริมาณยอดการใช้ดีเซลในประเทศที่ตกวันละ 50 ล้านลิตร หรือ เดือนละ 1,500 ล้านลิตร หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 8%