รถร่วมฯถกด่วนวันนี้ ค้านคำสั่งศาล ปค.ขู่เปิดวิ่งแค่ช่วงเช้า-เย็น

ผู้ประกอบการรถร่วมฯ ขสมก.ถกด่วนเช้าวันนี้ เตรียมขอมติที่ประชุมฯ ยื่นหนังสือเพื่อขอคัดค้านคำสั่งศาลปกครองกลาง กรณีให้ระงับขึ้นค่าโดยสาร พร้อมย้ำจะให้บริการรถโดยสารที่ใช้น้ำมันดีเซลเฉพาะช่วงเวลาเร่งด่วน เช้า-เย็น เท่านั้น เพื่อลดภาวะขาดทุน

วันนี้ (28 พ.ค.) นายฉัตรชัย ไชยวิเศษ นายกสมาคมพัฒนารถร่วมบริการเอกชน (รถร่วมฯ ขสมก.) กล่าวถึงกรณีที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ระงับขึ้นค่าโดยสาร โดยให้มีผลตั้งแต่เช้าวันนี้ กรณีดังกล่าวกลุ่มผู้ประกอบการรถร่วมฯ ขสมก.มีมติ ว่า เบื้องต้นพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งศาล แต่ยอมรับว่า คำตัดสินได้ส่งผลให้ผู้ประกอบการรถร่วมฯ ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก โดยในเร็วๆ นี้ ทางสมาคมเตรียมยื่นหนังสือเพื่อขอคัดค้านคำสั่งศาลปกครองดังกล่าว เนื่องจากศาลฯ ให้เวลาเพียง 30 วัน

วันนี้ สมาคมจะประชุมร่วมกันในเวลา 10.30 น.เพื่อหาทางออกเรื่องดังกล่าว เพราะสถานการณ์ราคาน้ำมันในขณะนี้ ผู้ประกอบการอยู่ไม่ได้ พร้อมกันนี้ ผู้ประกอบการจะนำรถโดยสารที่ใช้น้ำมันดีเซลมาวิ่งให้บริการเฉพาะช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น เท่านั้น ส่วนช่วงกลางวันอาจหยุดไปโดยปริยาย

นอกนั้นอาจจะมีการหยุดวิ่งให้บริการเพื่อลดภาวะการขาดทุน ซึ่งการให้บริการในช่วงเวลาปกติ จะต้องเป็นหน้าที่ของรถโดยสารขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก.เป็นผู้รับภาระแทนผู้ประกอบการ เนื่องจากผู้ประกอบการมีรถโดยสารที่ติดตั้งเอ็นจีวีเพียง 1,700 คัน จากจำนวนรถโดยสารทั้งหมด 12,000 คัน

**ขนส่งฯ ยอมแบกขาดทุน-เข็นรถเมล์วิ่งเพิ่ม

นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ รักษาการอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า หากผู้ประกอบการหยุดให้บริการเดินรถถือว่าผิดข้อกำหนดในสัญญาร่วมให้บริการผู้โดยสาร อย่างไรก็ตามจะพิจารณาถึงสาเหตุให้กับผู้ประกอบการว่า ที่หยุดให้บริการมีปัญหามาจากเรื่องใดบ้าง

ส่วนที่มีข่าวว่า รถร่วมฯ จะหยุดหรือให้บริการลดลงนั้น วันนี้ได้สั่งการให้รถตรวจการณ์ของกรมขนส่งทางบกออกไปสังเกตการณ์แล้ว หากพบว่าเส้นทางใดที่มีรถบริการไม่เพียงพอ จะจัดส่งรถของ ขสมก.ออกไปบริการเพิ่ม แม้ว่า ขสมก.จะขาดทุน แต่ต้องอำนวยความสะดวกให้ประชาชน เพราะขาดทุนมาต่อเนื่องอยู่แล้ว จากเดิม 500 ล้านบาท/เดือน เพิ่มเป็น 620 ล้าน/เดือน ในช่วงน้ำมันแพง

นายชัยรัตน์ กล่าวอีกว่า กรมขนส่งทางบกจะต้องนำตัวเลขภาวะการขาดทุนจากราคาต้นทุนที่สูงขึ้นชี้แจงต่อศาลว่า รถโดยสารสาธารณะต้องแบกรับต้นทุนอย่างไร และการขอปรับขึ้นราคามีมาตั้งแต่เดือนเมษายน แต่ไม่พิจารณาให้เนื่องจากเป็นช่วงที่ประชาชนเดินทางกันจำนวนมาก อาจจะได้รับความเดือดร้อน จนกระทั่งเพิ่งมาพิจารณาปรับให้และให้เพียงครึ่งหนึ่งที่ขอมาเท่านั้น คือ 1.50 บาท