xs
xsm
sm
md
lg

พีน่าดันเอาท์เล็ทมอลล์เรือธง ผุดรร.ควบชี้อีก2ปีทะลุ2พันล.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หัวเรือใหญ่พีน่าเฮาส์ลั่น นโยบายเชิงรุก “เอาท์เล็ทมอลล์” ดันขึ้นเป็นรายได้หลักของกลุ่มพีน่า ชี้อีก 2 ปีรายได้ทะลุ 2,000 ล้านบาท ทุ่มอีก 1,300 ล้านบาท ผุดอีก 2 แห่งที่ ภูเก็ตและอุดรธานี

นายสุพจน์ ตันติจิรสกุล ประธาน บริษัท เอาท์เล็ท มอลล์ จำกัด ในกลุ่มบริษัท พีน่า เฮาส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯวางนโยบายและทิศทางการลงทุนในด้านของการพัฒนาที่ดินค้าปลีกหรือเอาท์เล็ทมอลล์ของกลุ่มไว้โดยจะเป็นธุรกิจที่ทำรายได้หลักของกลุ่ม จากเดิมที่เป็นกลุ่มเสื้อผ้า ซึ่งจะกลายมาเป็นธุรกิจสร้างรายได้สัดส่วนอันดับที่สองแทน และธุรกิจโรงแรมเป็นรายได้อันดับที่สาม

ทั้งนี้แผนงานในช่วง 2 ปีจากนี้จะมุ่งเน้นการลงทุนในทำเลที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ และจังหวัดท่องเที่ยว ซึ่งเป้าหมายต่อไปมองไปที่จังหวัด สุราษฎร์ธานี เชียงราย เชียงใหม่ เป็นต้น คาดว่าจะสามารถลงทุนได้เฉลี่ยปีละ 2 โครงการขนาดเล็ก แต่ถ้าเป็นขนาดใหญ่คงพัฒนาปีละ 1 แห่งเท่านั้น ซึ่งเงินทุนในการพัฒนามาจากบริษัทฯเองและแหล่งเงินกู้

อย่างไรก็ตามไม่มีนโยบายลงทุนเอาท์เล็ทมอลล์ในกรุงเทพฯ เนื่องจากการแข่งขันสูงและราคาที่ดินแพงไม่เหมาะสมที่จะเปิดรูปแบบดังกล่าวนี้ รวมทั้งคู่ค้าที่เป็นแบรนด์ต่างๆอาจจะได้รับผลกระทบหากเปิดในพื้นที่กรุงเทพฯเพราะจะใกล้กับสาขาที่เปิดอยู่ตามศูนย์การค้า

สำหรับโครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างการพัฒนานั้นมี 2 โครงการคือ 1.เอาท์เล็ทวิลเลจ ภูเก็ต พื้นที่ 52 ไร่ เช่าระยะยาว 30 ปี ลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท อยู่ระหว่างก่อสร้างคาดว่าจะเปิดบริการได้ในเดือนธันวาคมปีนี้ โดยแบ่งเป็นเฟสที่ 1 โซนแกลลอรี่แอนด์ลีฟวิ่ง ประมาณ 4,000 ตารางเมตร, โซนอินเตอร์ฟู้ด 2,000 ตร.ม. และพื้นที่ซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่ระหว่างการเจรจาอีกไม่ต่ำกว่า 1,000 ตร.ม. และพื้นที่รีเทลอีก 18,000 ตร.ม. ทั้งนี้พื้นที่รีเทลคาดมีพันธมิตรมาเปิดประมาณ 300 แบรนด์ ซึ่งบริษัทฯใช้วิธีคิดเป็นค่าเช่าพื้นที่ระยะสั้น 3 ปีต่อสัญญา ไม่มีการเซ้ง คาดภายใน 5 ปีสาขานี้จะคืนทุนได้

ส่วนเฟสที่สองจะมีโรงแรม ไอยรา ซึ่งจะใช้บริษัทในเครือคือ เป็นผู้ลงทุนคือ ไอยรา บีช โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ต จำกัด ส่วนการบริหารอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะใช้เชนต่างประเทศหรือบริหารเอง เป็นโรงแรมจำนวน 200 ห้อง

อีกโครงการคือ เอาท์เล็ท วิลเลจ อุดรธานี บนพื้นที่ 12 ไร่ ซึ่งซื้อที่ดินมาจากอินเด็กซ์ลีฟวิ่งมอลล์ ลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท เพราะเป็นขนาดเล็ก คาดว่าจะคืนทุนภายใน 3 ปี ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดบริการได้กลางปีหน้า

โครงการนี้แบ่งเป็นพื้นที่รีเทลประมาณ 10,000 ตร.ม. และมีโรงแรมอยู่บนชั้น 2 ของรีเทล, จำนวน 120 ห้อง เป็นโรงแรมระดับ 2 ดาวขึ้น ราคาคาดว่าประมาณ 800-900 บาทต่อคืน จะให้บริษัทฯในเครือลงทุน ซึ่งคาดว่าตลาดโรงแรมยังไปได้ดี เนื่องจากตัวเลขที่สำรวจมามีห้องพักที่จดทะเบียนกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประมาณ 5,000 ฟ้อง ซึ่งระดับ 3 ดาวขึ้นไปมีน้อย

“นโนยบายเราตอนนี้จะพยายามสร้างโรงแรมควบคู่ไปกับเอาท์เล็ทวิลเลจด้วย เพราะเป็นธุรกิจที่สามารถเกื้อหนุนซึ่งกันและกันได้ทำให้โครงการน่าสนใจด้วย” นายสุพจน์กล่าว

ทั้งนี้บริษัทฯได้เข้าสุ่ธุรกิจเอาท์เล็ทมอลล์ประมาณ 6 ปีแล้ว ปัจจุบันมีเปิดบริการแล้ว 4 สาขา คือที่พัทยา ชะอำ เขาใหญ่ ซึ่งมียอดขายโดยรวมมากกว่า 1,400 ล้านบาท และคาดว่าภายในปี 2551 จะมีอัตราการเติบโต 25% เนื่องจากว่า เพิ่งเปิดสาขาที่ 4 ที่กระบี่เมื่อต้นปีนี้ซึ่งเป็นสาขาขนาดเล็กเพียง 5,000 ตร.ม. เท่านั้น รวมทั้ง สาขาที่พัทยาได้เปิดบริการเฟสที่สองอีก ขณะที่ปี 2552 หลังจากที่สาขาที่ภูเก็ตเปิดบริการคาดว่าจะมีรายได้รวม 2,000 ล้านบาท

ตลาดในอุดรธานีก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะดูจากตัวเลขจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่ระบุว่า ปี 2550 มีคนไทยเข้ามาเที่ยวอุดรธานีมากกว่า 1.9 ล้านคน ขณะที่คนต่างประเทศประมาณ 1.2 แสนคน ซึ่งวัตถุประสงค์ที่มาอุดรธานีคือ ประชุมเพิ่มขึ้น 28% เพื่อธุรกิจ เพิ่มขึ้น 12% และราชการ 2% ส่วนมาพักผ่อนลดลง 9%
กำลังโหลดความคิดเห็น