xs
xsm
sm
md
lg

ทุนไต้หวันพันรายบุก เฟรเกรนท์ฯ ลุยอสังหาฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ไทยยังเนื้อหอมทุนนอกสนลงทุนเพี้ยบ เผยกลุ่มนักลงทุนไต้หวันกว่า 1,000 รายจ่อคิวลงทุน ล่าสุดกลุ่มเฟรเกรนท์ ทุ่มงบ 2,700 ล้านบาทผุดคอนโดฯ “CIRCLE” ย่านนานา ถนนสุขุมวิท ระบุลุกค้าต่างชาติซื้อแล้ว10% อีกราย" ดิ แอลโคฟ " รุกอสังหาฯย่านสุขุมวิทเต็มรูปแบบ ทั้งคอนโดฯ โรงแรม และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ รองรับลูกค้าต่างชาติ

นายเจมส์ ดูอัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฟรเกรนท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กลุ่มทุนจากประเทศไต้หวัน เปิดเผยว่า บริษัทมี ประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศมากกว่า 30 ปี โดยมีความเชี่ยวชาญในด้านการออกแบบและก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียม โรงแรม และอาคารสำนักงาน ซึ่งสัดส่วนกว่า 80% เป็นโครงการคอนโดมิเนียม

ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นเป้าหมายสำคัญในการขยายธุรกิจ มีแนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทเริ่มต้นเมื่อปีพ.ศ.2547 ภายใต้โครงการ Fragrant 71 และ THE PRIME 11 ในปี 2548 ปัจจุบันมียอดขายไปแล้ว 85% และโครงการนี้จะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนปี 2552

สำหรับ แนวโน้มของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทย ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยที่พักอาศัยยังคงเป็นปัจจัยหลักของคนเมืองในปัจจุบัน เช่นเดียวกับทิศทางการเติบโตของตลาดรถยนต์ ซึ่งยังคงเติบโตได้ดี ประมาณการว่าอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯมีสัดส่วนการเติบโตประมาณ 4% ต่อปีเมื่อเทียบกับภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ และมีโอกาสในการขยายตัวอีกมาก ทั้งการซื้อที่พักแห่งใหม่และการขยายพื้นที่พักอาศัย โดยแต่เดิมคนกรุงเทพฯมีอัตราการครองพื้นที่พักอาศัยประมาณ 17 ตารางเมตร(ตร.ม.)ต่อคน และมีแนวโน้มจะเพิ่มเป็น 25-35 ตร.ม.ในอนาคต

ล่าสุด บริษัทเตรียมเปิดโครงการ CIRCLE คอนโดมิเนียม 2 อาคาร จำนวน 901 ยูนิต ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 5 ไร่ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2554 ใช้เงินลงทุนกว่า 2,700 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 73,900 บาท/ตร.ม. หรือราคาเริ่มต้น 2.7 ล้านบาทไปถึง 20 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 10% ลูกค้าทั้งหมดเป็นชาวไต้หวันและกลุ่มตะวันออกกลาง ที่มีแนวโน้มเข้ามาอยู่อาศัยในไทยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของโครงการยังเป็นลูกค้าคนไทย

“เมืองไทยยังมีศักยภาพในการลงทุนอีกมาก สังเกตได้จาก มีนักลงทุนจากต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในไทยจำนวนมาก และทราบมาว่าสมาคมนักลงทุนไต้หวันกว่า 1,000 ราย มีแผนที่จะเข้ามาลงทุนในไทย โดยกระจายในหลากหลายอุตสาหกรรม ผมไม่รู้ว่าเค้ากังวลปัญหาการเมืองไทยหรือไม่ แต่ถ้ามีนักลงทุนมาถาม ผมจะบอกว่าไม่น่าเป็นห่วง ”

**กลุ่มทุนค้าผ้าส่งออกเบนเข็มลงทุนอสังหาฯ**
นาย อนันต์ สิงห์จิรกุล ผู้อำนวยการกลุ่มบริษัท ดิ แอลโคฟ กล่าวว่า เดิมตนอยู่ในธุรกิจเสื้อผ้าส่งออก แต่ที่ผ่านมาประสบปัญหาจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการแข่งขันจากประเทศจีนและประเทศเพื่อนบ้าน จึงได้เบนเข็มมายังธุรกิจอสังหาฯ โดยเริ่มจากโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ดิ แอลโคฟ ทองหล่อ 23 มูลค่าโครงการ 150 ล้านบาท โดยมีผู้เช่าเต็มตลอดทั้งปี นอกจากนี้ ยังได้ซื้อห้องชุดในโครงการคอนโดมิเนียมจำนวนหลายห้องเพื่อปล่อยเช่า ได้รับผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ

โดยแนวโน้มอัตราการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทยยังมีอย่างต่อเนื่อง จึงเหตุผล ที่บริษัทลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ดิ แอลโคฟ สุขุมวิท 49 มูลค่าโครงการ 250 ล้านบาท และทองหล่อ 10 มูลค่าโครงการ 750 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 95,000 บาท/ตร.ม. ปัจจุบันมียอดจองแล้ว 80%

ล่าสุด บริษัทได้พัฒนาโครงการ ดิ แอลโคฟ ทองหล่อ 5 เป็นเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ มูลค่าโครงการ 350 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ซึ่งท่องหล่อถือเป็นย่านที่พักอาศัยของชาวญี่ปุ่นในไทย คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในเดือนตุลาคม 2552 โดยเชื่อว่าจะมีอัตราการเข้าพักเกือบ 100%

“ดิ แอลโคฟ จะเน้นทำตลาดเฉพาะย่านสุขุมวิท และทองหล่อ เท่านั้น เนื่องจากย่านนี้ เป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติ ที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งการอยู่อาศัยของผู้คนส่วนมากจะเป็นคอนโดมิเนียม ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยราคาเฉลี่ยของคอนโดฯในย่านนี้อยู่ที่ประมาณ 98,000 บาทต่อตร.ม. แต่ก็มีแนวโน้มที่ราคาจะปรับตัวสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วอย่างน้อย 10% ซึ่งมาจากค่าก่อสร้าง และราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น”

นายอนันต์ กล่าวต่อว่า จากแนวโน้มอัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวมีเพิ่มอย่างต่อเนื่องกว่า 12 ล้านคนต่อปี ทำให้บริษัทมีแผนที่จะขยายการลงทุนสู่ธุรกิจโรงแรม ภายใต้ชื่อ เบสท์ เวสเทิร์น แอลโคฟ ฮิปติก สุขุมวิท 13 มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท โดยร่วมกับเชนเบส เวสเทิร์น ในการบริหารโรงแรม ราคาเริ่มต้นที่ 1,500 – 3,000 บาทต่อคืน ซึ่งเป็นราคาที่สามารถแข่งขัน สำหรับธุรกิจในด้านนี้

“ดิ แอลโคฟ จะไม่มุ่งเน้นไปที่ธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง แต่จะเน้นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน และขึ้นอยู่กับศักยภาพของที่ดินแปลงนั้นๆ โดยรายได้จะมาจากทั้ง 2 ทาง คือจากการขายและเช่า ซึ่งธุรกิจให้เช่านี้จะสามารถคืนทุนได้ในอีก 6-8 ปี”

นายอนันต์ กล่าวถึงมาตรการภาษีของรัฐบาลที่กระตุ้นธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ว่า จะส่งผลดีต่อธุรกิจ เนื่องจากช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการ และผู้ซื้อ ทั้งในแง่ภาษีธุรกิจเฉพาะ(จาก 3.3% ลดเหลือ 0.1%) และค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง (จาก 2% เหลือ 0.01% ) โดยโครงการ สุขุมวิท 49 ได้ผลดีแน่นอน เพราะเกือบพร้อมโอนแล้ว แต่ในส่วนของ ทองหล่อ 10 ขึ้นอยู่กับอายุนโยบายดังกล่าวว่ามีระยะเวลาประมาณเท่าไร และที่สำคัญโครงการทั้ง 2 ผ่านการอนุมัติจากกฎหมายสิ่งแวดล้อมแล้ว ทำให้ผู้ซื้อโครงการมีความมั่นใจมากขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น