ทีแอลเอ็มผุดบัตร "รูบี้" กู้หน้า ปั้นรายได้ 3 เดือนแรกกำไรกว่า 3 ล้านบาท ตั้งเป้าสิ้นปีโกยยอดขายได้กว่า 1 หมื่นใบ เดินหน้าเปิดบัญชีให้บอร์ด ททท.รับทราบ มั่นใจสิ้นปีฟาดกำไรไม่ต่ำกว่า 18 ล้านบาท คุยเดินธุรกิจถูกทาง ตอบโจทย์ลูกค้าด้วยบริการ และตรงวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งบริษัท
นางปิยาพัชร สุบรรณ ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยจัดการลองสเตย์ จำกัด หรือ ทีแอลเอ็ม เปิดเผยว่า บริษัทฯได้เพิ่มสินค้าใหม่ เป็นบัตรสมาชิกระยะสั้น 60 วัน ภายใต้ชื่อ “รูบี้” เสนอขายสมาชิกในราคา 1,500 บาท เปิดจำหน่ายตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เป้าหมายเจาะกลุ่มผู้สูงวัยที่ต้องการเข้ามาตรวจเช็คสุขภาพ หรือพักรักษาตัว และกลุ่มหนีอากาศหนาวเย็น ตั้งเป้าปีนี้จะได้สมาชิกใหม่ที่เป็นบัตรรุ่นนี้ไม่น้อยกว่า 10,000 ใบ
โดยผู้ถือบัตรจะได้สิทธิประโยชน์ บริการฟาสต์แทรกที่สนามบิน 1 ครั้ง และ บริการช่วยประสานงานเรื่องการเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล บริการต่อวีซ่า รวมถึงช่วยประสานงานกับหน่วยงานราชการอื่นๆ ส่วนบัตรรุ่น แพลตตินัม ที่ราคาใบละ 2.8 หมื่นบาท คาดว่าจะมียอดขายราว 600 ใบ
ในส่วนของสิทธิประโยชน์ ค่ารักษาพยาบาล สมาชิกของทีแอลเอ็มทุกคน จะได้ส่วนลดเงินสดสำหรับการตรวจรักษาครั้งละ 2 พันบาทไปถึงสูงสุด 1 หมื่นบาท ขึ้นอยู่กับว่าสมาชิกถือบัตรประเภทใด โดย 3 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯได้ลูกค้าเฉพาะบัตรรูบี้นี้แล้วประมาณ 4 พันใบ ส่งผลให้ไตรมาสแรก บริษัทฯมีกำไรสุทธิจากการขายบัตรสมาชิกกว่า 3 ล้านบาท และมั่นใจว่าถึงสิ้นปี บริษัทฯจะมีกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 18 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นไปตามแผนธุรกิจที่วางไว้ สำหรับลูกค้าหลัก ยังเป็นกลุ่มผู้สูงวัยจากยุโรป สแกนดิเนเวียเฉลี่ย 70% ที่เหลือเป็นตลาดอื่นๆ อาทิ ญี่ปุ่น เป็นต้น
ส่วนตลาดใหม่ ที่ ทีแอลเอ็มจะบุกในช่วงโลวซีซั่นปีนี้ คือ ตลาดตะวันออกกลาง โดยกำลังหารือกับพันธมิตรทางธุรกิจด้วยว่าต้องการให้นักท่องเที่ยวจากตลาดนี้ พักที่ประเทศไทยนานวันขึ้น จากเดิมที่บางส่วนใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน เพื่อเดินทางไปพักที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
“ปัจจุบัน ทีแอลเอ็ม มีบัตรสมาชิกรวม 4 แบบ คือ รูบี้ ราคา 1,500 บาท อายุบัตร 60 วัน ส่วนอีก 3 แบบ มีอายุบัตร 1 ปี คือ ซิลเวอร์ ราคา 12,000 บาท ,โกลด์ ราคา 20,000 บาท และ แพลตตินั่ม ราคา 28,000 บาท แต่ละแบบก็จะได้สิทธิประโยชน์เรื่องส่วนลด โรงพยาบาล ร้านค้า สปา ที่แตกต่างกันออกไป และ สิ่งที่สมาชิกทีแอลเอ็มต้องการมากที่สุดขณะนี้คือ วีซ่า 1 ปี และ การขออนุญาตขับรถในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจากับ กรมขนส่งทางบก และ กระทรวงการต่างประเทศ”
ทั้งนี้ บริษัทฯได้นำเสนอผลประกอบการ และแผนการทำงานต่อที่ประชุมบอร์ด ททท.ให้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาด้วย ว่าจะให้บริษัทฯดำเนินกิจการต่อไปอีกหรือไม่ โดยส่วนตัวมองว่า แผนธุรกิจที่ทีแอลเอ็มดำเนินการอยู่นี้ ได้มาถูกทางแล้ว และตรงวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งบริษัท อย่างแน่นอน เพราะ ทีแอลเอ็ม เป็นเสมือนหน่วยงานที่ให้บริการแก่สมาชิกผู้สูงวัย อายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ได้เข้ามาพักผ่อนช่วงวัยหลังเกษียณ ในประเทศไทย และจากข้อมูลที่ ทีแอลเอ็มได้สำรวจ พบว่า สมาชิกทีแอลเอ็มกว่า 3 พันคน มีบ้านพักในประเทศไทย โดยเขานำเงินมาซื้อที่อยู่อาศัยราคาเฉลี่ยที่ ยูนิตละไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท จึงช่วยกระตุ้นธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ได้อีกทางหนึ่ง
“คนกลุ่มนี้ มีการใช้จ่ายขณะพักในประเทศไทยประมาณ 1,500 บาทต่อคนต่อวัน พักเฉลี่ย 5-7 เดือน ไม่นับรวมเงินที่นำมาซื้อที่อยู่อาศัยหรือลงทุน ซึ่งฯบริษัทฯก็มีรายได้พิเศษจากการรับเป็นที่ปรึกษาให้แก่ 2 บริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่ทำตลาดลูกค้ากลุ่มนี้ด้วย”
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯไม่มีแผนจะเพิ่มทุนแต่อย่างใด เพราะโครงสร้างรายได้ของทีแอลเอ็ม เป็นการขายสมาชิกปีต่อปี และขณะนี้บริษัทฯก็สามารถทำกำไรเข้าองค์กรแล้ว และในอีก 3 ปีมั่นใจว่า จะสามารถทยอยส่งคืนทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างแน่นอน
นางปิยาพัชร สุบรรณ ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยจัดการลองสเตย์ จำกัด หรือ ทีแอลเอ็ม เปิดเผยว่า บริษัทฯได้เพิ่มสินค้าใหม่ เป็นบัตรสมาชิกระยะสั้น 60 วัน ภายใต้ชื่อ “รูบี้” เสนอขายสมาชิกในราคา 1,500 บาท เปิดจำหน่ายตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เป้าหมายเจาะกลุ่มผู้สูงวัยที่ต้องการเข้ามาตรวจเช็คสุขภาพ หรือพักรักษาตัว และกลุ่มหนีอากาศหนาวเย็น ตั้งเป้าปีนี้จะได้สมาชิกใหม่ที่เป็นบัตรรุ่นนี้ไม่น้อยกว่า 10,000 ใบ
โดยผู้ถือบัตรจะได้สิทธิประโยชน์ บริการฟาสต์แทรกที่สนามบิน 1 ครั้ง และ บริการช่วยประสานงานเรื่องการเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล บริการต่อวีซ่า รวมถึงช่วยประสานงานกับหน่วยงานราชการอื่นๆ ส่วนบัตรรุ่น แพลตตินัม ที่ราคาใบละ 2.8 หมื่นบาท คาดว่าจะมียอดขายราว 600 ใบ
ในส่วนของสิทธิประโยชน์ ค่ารักษาพยาบาล สมาชิกของทีแอลเอ็มทุกคน จะได้ส่วนลดเงินสดสำหรับการตรวจรักษาครั้งละ 2 พันบาทไปถึงสูงสุด 1 หมื่นบาท ขึ้นอยู่กับว่าสมาชิกถือบัตรประเภทใด โดย 3 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯได้ลูกค้าเฉพาะบัตรรูบี้นี้แล้วประมาณ 4 พันใบ ส่งผลให้ไตรมาสแรก บริษัทฯมีกำไรสุทธิจากการขายบัตรสมาชิกกว่า 3 ล้านบาท และมั่นใจว่าถึงสิ้นปี บริษัทฯจะมีกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 18 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นไปตามแผนธุรกิจที่วางไว้ สำหรับลูกค้าหลัก ยังเป็นกลุ่มผู้สูงวัยจากยุโรป สแกนดิเนเวียเฉลี่ย 70% ที่เหลือเป็นตลาดอื่นๆ อาทิ ญี่ปุ่น เป็นต้น
ส่วนตลาดใหม่ ที่ ทีแอลเอ็มจะบุกในช่วงโลวซีซั่นปีนี้ คือ ตลาดตะวันออกกลาง โดยกำลังหารือกับพันธมิตรทางธุรกิจด้วยว่าต้องการให้นักท่องเที่ยวจากตลาดนี้ พักที่ประเทศไทยนานวันขึ้น จากเดิมที่บางส่วนใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน เพื่อเดินทางไปพักที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
“ปัจจุบัน ทีแอลเอ็ม มีบัตรสมาชิกรวม 4 แบบ คือ รูบี้ ราคา 1,500 บาท อายุบัตร 60 วัน ส่วนอีก 3 แบบ มีอายุบัตร 1 ปี คือ ซิลเวอร์ ราคา 12,000 บาท ,โกลด์ ราคา 20,000 บาท และ แพลตตินั่ม ราคา 28,000 บาท แต่ละแบบก็จะได้สิทธิประโยชน์เรื่องส่วนลด โรงพยาบาล ร้านค้า สปา ที่แตกต่างกันออกไป และ สิ่งที่สมาชิกทีแอลเอ็มต้องการมากที่สุดขณะนี้คือ วีซ่า 1 ปี และ การขออนุญาตขับรถในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจากับ กรมขนส่งทางบก และ กระทรวงการต่างประเทศ”
ทั้งนี้ บริษัทฯได้นำเสนอผลประกอบการ และแผนการทำงานต่อที่ประชุมบอร์ด ททท.ให้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาด้วย ว่าจะให้บริษัทฯดำเนินกิจการต่อไปอีกหรือไม่ โดยส่วนตัวมองว่า แผนธุรกิจที่ทีแอลเอ็มดำเนินการอยู่นี้ ได้มาถูกทางแล้ว และตรงวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งบริษัท อย่างแน่นอน เพราะ ทีแอลเอ็ม เป็นเสมือนหน่วยงานที่ให้บริการแก่สมาชิกผู้สูงวัย อายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ได้เข้ามาพักผ่อนช่วงวัยหลังเกษียณ ในประเทศไทย และจากข้อมูลที่ ทีแอลเอ็มได้สำรวจ พบว่า สมาชิกทีแอลเอ็มกว่า 3 พันคน มีบ้านพักในประเทศไทย โดยเขานำเงินมาซื้อที่อยู่อาศัยราคาเฉลี่ยที่ ยูนิตละไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท จึงช่วยกระตุ้นธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ได้อีกทางหนึ่ง
“คนกลุ่มนี้ มีการใช้จ่ายขณะพักในประเทศไทยประมาณ 1,500 บาทต่อคนต่อวัน พักเฉลี่ย 5-7 เดือน ไม่นับรวมเงินที่นำมาซื้อที่อยู่อาศัยหรือลงทุน ซึ่งฯบริษัทฯก็มีรายได้พิเศษจากการรับเป็นที่ปรึกษาให้แก่ 2 บริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่ทำตลาดลูกค้ากลุ่มนี้ด้วย”
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯไม่มีแผนจะเพิ่มทุนแต่อย่างใด เพราะโครงสร้างรายได้ของทีแอลเอ็ม เป็นการขายสมาชิกปีต่อปี และขณะนี้บริษัทฯก็สามารถทำกำไรเข้าองค์กรแล้ว และในอีก 3 ปีมั่นใจว่า จะสามารถทยอยส่งคืนทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างแน่นอน