นู สกิน ชู 3 ยุทธศาสตร์เร่งขยายธุรกิจขายตรงทั่วโลก รับมือผู้ประกอบการหน้าใหม่ ยักษ์ใหญ่อุปโภคบริโภคตบเท้าสู่ธุรกิจอีกเพียบ ลั่น 2-4 ปี จ่อคิวลุยตลาดอินเดีย-เวียดนาม ส่วนไทยเล็งขนนวัตกรรมใหม่ลงตลาด สิ้นปีรายได้ทั่วโลกโต 4-5% จาก 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ
นายทรูแมน ฮันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงนู สกิน เปิดเผยว่า ยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจขายตรงของนูสกินทั่วโลกวางไว้ภายใต้ 3 กลยุทธ์ ได้แก่ การทำให้นู สกินกลายเป็นแบรนด์ที่เหนือชั้นคู่แข่ง โดยมุ่งเน้นให้กลุ่มเป้าหมายเห็นถึงความจำเป็นในการใช้ผลิตภัณฑ์ การแสดงส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ระดับนาโน และการมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มชะลอริ้วรอย นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการทำซีเอสอาร์ เพื่อล้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของผู้ที่แอบแฝงในอาชีพขายตรง
ทั้งนี้ นูสกิน วางแผนขยายธุรกิจนอกเหนือจากประเทศอเมริกาในเชิงรุกมากขึ้น โดยในระยะยาวหวังให้สัดส่วนรายได้จากประเทศอเมริกาลดลงจากปัจจุบัน 15-16% เป็น 10% ส่วนทวีปอื่นๆ สัดส่วน 84% เพิ่มเป็น 90% ล่าสุดได้เข้าไปเปิดตลาดในจีน ยุโรปตะวันออกกลาง อาทิ ประเทศฮังการี สโลวาเกีย และจะเข้าไปเปิดตลาดในอีก 2-3 ประเทศ ส่วนอินเดียกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาตลาด โดยจะเข้าไปทำตลาด 3-4 ปีข้างหน้านี้
ส่วนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เวียดนาม ถือว่าเป็นประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดี ซึ่งบริษัทมีความสนใจที่จะเข้าไปดำเนินธุรกิจ 2-3 ปี โดยการตั้งสำนักงานและให้ผู้บริหารไทยเข้าไปดูแล ซึ่งคาดว่าจะมีศูนย์จำหน่าย 12-13 แห่ง ใกล้เคียงกับประเทศไทยซึ่งปัจจุบันมีศูนย์จำหน่าย 13 แห่ง
นายฮันท์ กล่าวถึงสภาพตลาดในเอเชียว่า เกาหลีถือว่าเป็นประเทศที่มีธุรกิจขายตรงขนาดใหญ่ ตามด้วยไต้หวัน จีน ฮ่องกง ส่วนประเทศไทย สิงคโปร์ และมาเลเซีย ใกล้เคียงกัน สำหรับการดำเนินธุรกิจในไทยจะมุ่งเน้นนำเสนอนวัตกรรมใหม่ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ควบคุมน้ำหนัก และดูแลผิวพรรณ
แนวโน้มธุรกิจขายตรงที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีผู้ดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคหันมารุกธุรกิจขายตรงทุกปี ซึ่งแม้แต่บริษัท ยูนิลีเวอร์ ซึ่งเป็นบริษัทอุปโภคบริโภคระดับโลกก็มีธุรกิจขายตรงภายใต้ชื่ออาวียองซ์ อย่างไรก็ตามท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น สำหรับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจของบริษัทไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะเป็นผู้นำ แต่กลับวางเป้าหมายจะเป็นบริษัทที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด ซึ่งปัจจุบันจ่ายค่าคอมมิชชัน 43%
สำหรับผลประกอบการนู สกิน ทั่วโลกปีนี้ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 4-5% จากในปีที่ผ่านมามีรายได้ 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีการเติบโตลดลง เนื่องจากจีนและญี่ปุ่นมียอดขายลดลง โดยเฉพาะในจีนได้เปลี่ยนระบบการทำตลาดใหม่ อย่างไรก็ตามญี่ปุ่นสร้างรายได้อันดับ 1 ในสัดส่วน 38% ตามด้วยอเมริกา จีน เกาหลี ฮ่องกง ไต้หวัน ส่วนไทยสิงคโปร์ มาเลเซีย มียอดขายใกล้เคียงกัน
ส่วนการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในช่วง 10 ปี เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมาเติบโต 10% โดยมีรายได้ 1,200 ล้านบาท แบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 65% ส่วนผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าและของใช้ส่วนบุคคล 35% และภายใน 3 ปีตั้งเป้าเติบโตเพิ่มขึ้น 2 เท่า หรือมีรายได้ 2,000 ล้านบาท
นายทรูแมน ฮันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงนู สกิน เปิดเผยว่า ยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจขายตรงของนูสกินทั่วโลกวางไว้ภายใต้ 3 กลยุทธ์ ได้แก่ การทำให้นู สกินกลายเป็นแบรนด์ที่เหนือชั้นคู่แข่ง โดยมุ่งเน้นให้กลุ่มเป้าหมายเห็นถึงความจำเป็นในการใช้ผลิตภัณฑ์ การแสดงส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ระดับนาโน และการมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มชะลอริ้วรอย นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการทำซีเอสอาร์ เพื่อล้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของผู้ที่แอบแฝงในอาชีพขายตรง
ทั้งนี้ นูสกิน วางแผนขยายธุรกิจนอกเหนือจากประเทศอเมริกาในเชิงรุกมากขึ้น โดยในระยะยาวหวังให้สัดส่วนรายได้จากประเทศอเมริกาลดลงจากปัจจุบัน 15-16% เป็น 10% ส่วนทวีปอื่นๆ สัดส่วน 84% เพิ่มเป็น 90% ล่าสุดได้เข้าไปเปิดตลาดในจีน ยุโรปตะวันออกกลาง อาทิ ประเทศฮังการี สโลวาเกีย และจะเข้าไปเปิดตลาดในอีก 2-3 ประเทศ ส่วนอินเดียกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาตลาด โดยจะเข้าไปทำตลาด 3-4 ปีข้างหน้านี้
ส่วนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เวียดนาม ถือว่าเป็นประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดี ซึ่งบริษัทมีความสนใจที่จะเข้าไปดำเนินธุรกิจ 2-3 ปี โดยการตั้งสำนักงานและให้ผู้บริหารไทยเข้าไปดูแล ซึ่งคาดว่าจะมีศูนย์จำหน่าย 12-13 แห่ง ใกล้เคียงกับประเทศไทยซึ่งปัจจุบันมีศูนย์จำหน่าย 13 แห่ง
นายฮันท์ กล่าวถึงสภาพตลาดในเอเชียว่า เกาหลีถือว่าเป็นประเทศที่มีธุรกิจขายตรงขนาดใหญ่ ตามด้วยไต้หวัน จีน ฮ่องกง ส่วนประเทศไทย สิงคโปร์ และมาเลเซีย ใกล้เคียงกัน สำหรับการดำเนินธุรกิจในไทยจะมุ่งเน้นนำเสนอนวัตกรรมใหม่ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ควบคุมน้ำหนัก และดูแลผิวพรรณ
แนวโน้มธุรกิจขายตรงที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีผู้ดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคหันมารุกธุรกิจขายตรงทุกปี ซึ่งแม้แต่บริษัท ยูนิลีเวอร์ ซึ่งเป็นบริษัทอุปโภคบริโภคระดับโลกก็มีธุรกิจขายตรงภายใต้ชื่ออาวียองซ์ อย่างไรก็ตามท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น สำหรับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจของบริษัทไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะเป็นผู้นำ แต่กลับวางเป้าหมายจะเป็นบริษัทที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด ซึ่งปัจจุบันจ่ายค่าคอมมิชชัน 43%
สำหรับผลประกอบการนู สกิน ทั่วโลกปีนี้ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 4-5% จากในปีที่ผ่านมามีรายได้ 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีการเติบโตลดลง เนื่องจากจีนและญี่ปุ่นมียอดขายลดลง โดยเฉพาะในจีนได้เปลี่ยนระบบการทำตลาดใหม่ อย่างไรก็ตามญี่ปุ่นสร้างรายได้อันดับ 1 ในสัดส่วน 38% ตามด้วยอเมริกา จีน เกาหลี ฮ่องกง ไต้หวัน ส่วนไทยสิงคโปร์ มาเลเซีย มียอดขายใกล้เคียงกัน
ส่วนการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในช่วง 10 ปี เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมาเติบโต 10% โดยมีรายได้ 1,200 ล้านบาท แบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 65% ส่วนผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าและของใช้ส่วนบุคคล 35% และภายใน 3 ปีตั้งเป้าเติบโตเพิ่มขึ้น 2 เท่า หรือมีรายได้ 2,000 ล้านบาท