แคดเบอรี อาดัมส์ ตอกย้ำบัลลังก์ขนมหวานสำเร็จรูป รุกสร้างขาธุรกิจที่สามเสริมทัพ อัดฉีด 150 ล้านบาท ปั้นช็อกโกแลตแคดเบอรีโค่นกูลิโกะ 3 ปี ผงาดขึ้นเป็นผู้นำครองแชร์มากกว่า 15% ชู การมีสินค้าครบไลน์เหนือชั้นคู่แข่ง ส่งช็อกโกแลต 2 ขนาด รูปแบบบล็อก-พอดีคำ รับกระแสเทรนด์โลกผู้บริโภคเปลี่ยนกินของทานเล่นพอดีคำ ชูการ์ฟรี ฟังก์ชัน พร้อมคว้า เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ ขึ้นแท่นพรีเซ็นเตอร์
นายอาณัติ จุลินทร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคดเบอรี อาดัมส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายลูกอมฮอลล์ หมากฝรั่งเดนทีน เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้นำตลาดในขนมหวานสำเร็จรูปมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ครองส่วนแบ่ง 32% โดยมี 2 ตลาดที่บริษัทเป็นผู้นำตลาด ได้แก่ ตลาดลูกอมมูลค่า 5,085 ล้านบาท ฮอลล์ มีส่วนแบ่ง 31% และหมากฝรั่งประกอบด้วย แบรนด์ เดนทีน คลอเร็ท ซิเคล็ทส์ ไทรเด้นท์ ครองส่วนแบ่ง 62% ซึ่งเหลือเพียงตลาดช็อกโกแลตบริษัทยังไม่ได้เป็นผู้นำตลาด โดยช็อกโกแลตแคดเบอรีมีส่วนแบ่ง 3% เป็นอันดับ 9 ของตลาด
ดังนั้น บริษัทจึงได้วางแผนขยายตลาดสินค้าในกลุ่มช็อกโกแลตลงสู่ตลาดขนมหวานในเชิงรุกมากขึ้น เพื่อสร้างธุรกิจขาที่สามของบริษัทซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ 10-15% ที่เหลืออีก 85-90% เป็นลูกอมและหมากฝรั่ง โดยตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปีนี้จะขึ้นเป็นผู้นำตลาดด้วยการครองส่วนแบ่งมากกว่า 15% โดยยอดขายเติบโต 5 เท่าตัว จากปัจจุบันผู้นำตลาดเป็น กูลิโกะ มีส่วนแบ่ง 15.9% เนสท์เล่ 14.8% และเอ็มแอนด์เอ็ม 10.6%
สำหรับแผนการตลาดบริษัทจะนำความโดดเด่น การมีสินค้าที่ครบไลน์ในกลุ่มช็อกโกแลตที่เหนือชั้นคู่แข่งมาทำตลาดเชิงรุก ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบชิ้น เวเฟอร์ เม็ด หรือสอดไส้ และเพื่อตอบรับเทรนด์ตลาดขนมหวานสำเร็จรูปและขนมขบเคี้ยวของโลก ซึ่งพฤติกรรมการกินเปลี่ยนไปหันมากินในรูปแบบพอดีคำหรือรูปแบบซูการ์ฟรี และมีฟังก์ชันมากขึ้น เนื่องจากกระแสสุขภาพมาแรงมากขึ้น บริษัทได้เปิดตัวช็อกโกแลตใหม่ 2 ตัว ได้แก่ แคดเบอรี ช็อกโกแลตแบบบล็อกหักทานขนาดแนะนำ 15 กรัม ราคา 8 บาท และแคดเบอรี ช็อกโกแลต ชิ้นเล็กแบบพอดีคำ กล่องละ 36 ชิ้น ราคา 69 บาท เจาะกลุ่มเป้าหมายนักศึกษาและวัยทำงานอายุ 20-35 ปี
พร้อมกันนี้ ได้ทุ่มงบ 150 ล้านบาท เปิดตัวแคมเปญ “แคดเบอรี อร่อยนุ่มละมุนลิ้น” ในช่วงวันวาเลนไทน์พร้อมกับเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุด “TOUCH” โดยนำ เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรกของแบรนด์ อีกทั้งยังได้เตรียมจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อเข้าถึงผู้บริโภค และการแจกสินค้าตัวอย่าง สำหรับในช่วงเทศกาลแห่งความรักจัดโปรโมชันจำหน่ายเพียง 14 บาท จากปกติราคา 27 บาท ในระหว่างวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ นี้ ที่ ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น
“หลังจากอาดัมส์ได้เข้าไปร่วมทุนกับบริษัท แคดเบอรี 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้เรามีโปรดักส์ไลน์กลุ่มช็อกโกแลตเพิ่มขึ้น ซึ่งเราได้ศึกษาตลาดช็อกโกแลตเมืองไทยกว่า 2 ปี อีกทั้งบริษัทยังมีความเชี่ยวชาญในตลาดขนมหวานสำเร็จรูป ดังนั้น มีความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี จึงมั่นใจว่าจะขึ้นเป็นผู้นำตลาดอีกได้
แนวโน้มตลาดขนมหวานสำเร็จรูปในประเทศไทยมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ยังมีโอกาสที่จะเติบโตอีกมาก เนื่องจากอัตราการบริโภคของคนไทยมีเพียง 700 กรัมต่อคนต่อปีเท่านั้น เมื่อเทียบกับเวียดนามมากกว่า 2 เท่าตัว สำหรับภาวะตลาดช็อกโกแลตมูลค่า 2,536 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเติบโตปีละ 22% สำหรับปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 22% สำหรับพฤติกรรมการกินช็อกโกแลตของคนไทยไม่นิยมกินปริมาณมาก ขณะที่การตัดสินใจซื้อคำนึงถึงคุณภาพของสินค้าและแบรนด์เป็นหลัก ส่วนด้านการผลิตขณะนี้ช็อกโกแลตมีต้นทุนสูงจากนมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ตัวผงช็อกโกแลตเองโดยมากจะเป็นการนำเข้ามา ซึ่งได้รับอานิสงส์จากเอฟทีเอทำให้ภาษีนำเข้าลดลงจาก 30% เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเหลือเพียง 0-5% เท่านั้น โดยผงช็อกโกแลตบริษัทนำเข้ามาจากประเทศมาเลเซียเป็นหลัก
นายอาณัติ จุลินทร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคดเบอรี อาดัมส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายลูกอมฮอลล์ หมากฝรั่งเดนทีน เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้นำตลาดในขนมหวานสำเร็จรูปมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ครองส่วนแบ่ง 32% โดยมี 2 ตลาดที่บริษัทเป็นผู้นำตลาด ได้แก่ ตลาดลูกอมมูลค่า 5,085 ล้านบาท ฮอลล์ มีส่วนแบ่ง 31% และหมากฝรั่งประกอบด้วย แบรนด์ เดนทีน คลอเร็ท ซิเคล็ทส์ ไทรเด้นท์ ครองส่วนแบ่ง 62% ซึ่งเหลือเพียงตลาดช็อกโกแลตบริษัทยังไม่ได้เป็นผู้นำตลาด โดยช็อกโกแลตแคดเบอรีมีส่วนแบ่ง 3% เป็นอันดับ 9 ของตลาด
ดังนั้น บริษัทจึงได้วางแผนขยายตลาดสินค้าในกลุ่มช็อกโกแลตลงสู่ตลาดขนมหวานในเชิงรุกมากขึ้น เพื่อสร้างธุรกิจขาที่สามของบริษัทซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ 10-15% ที่เหลืออีก 85-90% เป็นลูกอมและหมากฝรั่ง โดยตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปีนี้จะขึ้นเป็นผู้นำตลาดด้วยการครองส่วนแบ่งมากกว่า 15% โดยยอดขายเติบโต 5 เท่าตัว จากปัจจุบันผู้นำตลาดเป็น กูลิโกะ มีส่วนแบ่ง 15.9% เนสท์เล่ 14.8% และเอ็มแอนด์เอ็ม 10.6%
สำหรับแผนการตลาดบริษัทจะนำความโดดเด่น การมีสินค้าที่ครบไลน์ในกลุ่มช็อกโกแลตที่เหนือชั้นคู่แข่งมาทำตลาดเชิงรุก ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบชิ้น เวเฟอร์ เม็ด หรือสอดไส้ และเพื่อตอบรับเทรนด์ตลาดขนมหวานสำเร็จรูปและขนมขบเคี้ยวของโลก ซึ่งพฤติกรรมการกินเปลี่ยนไปหันมากินในรูปแบบพอดีคำหรือรูปแบบซูการ์ฟรี และมีฟังก์ชันมากขึ้น เนื่องจากกระแสสุขภาพมาแรงมากขึ้น บริษัทได้เปิดตัวช็อกโกแลตใหม่ 2 ตัว ได้แก่ แคดเบอรี ช็อกโกแลตแบบบล็อกหักทานขนาดแนะนำ 15 กรัม ราคา 8 บาท และแคดเบอรี ช็อกโกแลต ชิ้นเล็กแบบพอดีคำ กล่องละ 36 ชิ้น ราคา 69 บาท เจาะกลุ่มเป้าหมายนักศึกษาและวัยทำงานอายุ 20-35 ปี
พร้อมกันนี้ ได้ทุ่มงบ 150 ล้านบาท เปิดตัวแคมเปญ “แคดเบอรี อร่อยนุ่มละมุนลิ้น” ในช่วงวันวาเลนไทน์พร้อมกับเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุด “TOUCH” โดยนำ เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรกของแบรนด์ อีกทั้งยังได้เตรียมจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อเข้าถึงผู้บริโภค และการแจกสินค้าตัวอย่าง สำหรับในช่วงเทศกาลแห่งความรักจัดโปรโมชันจำหน่ายเพียง 14 บาท จากปกติราคา 27 บาท ในระหว่างวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ นี้ ที่ ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น
“หลังจากอาดัมส์ได้เข้าไปร่วมทุนกับบริษัท แคดเบอรี 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้เรามีโปรดักส์ไลน์กลุ่มช็อกโกแลตเพิ่มขึ้น ซึ่งเราได้ศึกษาตลาดช็อกโกแลตเมืองไทยกว่า 2 ปี อีกทั้งบริษัทยังมีความเชี่ยวชาญในตลาดขนมหวานสำเร็จรูป ดังนั้น มีความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี จึงมั่นใจว่าจะขึ้นเป็นผู้นำตลาดอีกได้
แนวโน้มตลาดขนมหวานสำเร็จรูปในประเทศไทยมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ยังมีโอกาสที่จะเติบโตอีกมาก เนื่องจากอัตราการบริโภคของคนไทยมีเพียง 700 กรัมต่อคนต่อปีเท่านั้น เมื่อเทียบกับเวียดนามมากกว่า 2 เท่าตัว สำหรับภาวะตลาดช็อกโกแลตมูลค่า 2,536 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเติบโตปีละ 22% สำหรับปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 22% สำหรับพฤติกรรมการกินช็อกโกแลตของคนไทยไม่นิยมกินปริมาณมาก ขณะที่การตัดสินใจซื้อคำนึงถึงคุณภาพของสินค้าและแบรนด์เป็นหลัก ส่วนด้านการผลิตขณะนี้ช็อกโกแลตมีต้นทุนสูงจากนมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ตัวผงช็อกโกแลตเองโดยมากจะเป็นการนำเข้ามา ซึ่งได้รับอานิสงส์จากเอฟทีเอทำให้ภาษีนำเข้าลดลงจาก 30% เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเหลือเพียง 0-5% เท่านั้น โดยผงช็อกโกแลตบริษัทนำเข้ามาจากประเทศมาเลเซียเป็นหลัก
