ตลาดหลักทรัพย์ ตั้งเป้าดันกองทุน LTF ปีหนูโตอีก 2 หมื่นล้านบาท คาดจำนวนผู้ลงทุนเพิ่ม 75,000-100,000 ราย ชูผลสำเร็จโครงการ “มีเงินต้องเก็บ มี LTF ต้องใช้ : Let’s Activate Your LTF- Investor Plus” แค่ 6 เดือน ดันยอดกองทุนแอลทีเอฟทั้งระบบพุ่งแตะ 4.9 หมื่นล้านบาท “เก่งกล้า” ระบุ แม้จะเป็นปีแรกที่สามารถไถ่ถอนหน่วยลงทุนของกองทุน LTF ได้ แต่มีผู้ถือหน่วยลงทุนยื่นไถ่ถอนไม่มาก เผยหวังขยายฐานนักลงทุนต่อเนื่อง
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ สายงานศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ปี 2551 ขนาดของกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ในประเทศไทย น่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินว่าปีนี้ฐานลูกค้าของกองทุนดังกล่าวจะมีการขยายตัวผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ต่างๆ ประมาณ 75,000 คน เฉลี่ยวงเงินลงทุนรายละประมาณ 200,000 บาท คิดเป็นยอดเงินลงทุนรวมที่น่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน หลังจากตลาดหลักทรัพย์ได้มีการจัดกิจกรรม “มีเงินต้องเก็บ มี LTF ต้องใช้ : Let’s Activate Your LTF- Investor Plus” ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม - 31 ธันวาคม 2550 พบว่า กิจกรรมดังกล่าวได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามียอดซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาวเพิ่มขึ้นคิดเป็นมูลค่า 14,248 ล้านบาท สำหรับผู้ที่ลงทุนในกองทุน LTF ตั้งแต่ 20,000 บาท ขึ้นไป และส่งผลทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน LTF ทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็น 49,408 ล้านบาท
“จำนวนบัญชีใหม่ที่มีการลงทุนในกองทุน LTF แต่ละเดือนนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายที่ผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่งผลให้มีผู้ที่เปิดบัญชีใหม่ในกองทุน LTF สูงถึง 40,461 บัญชี หรือ 3.3 เท่าจากเดือนพฤศจิกายน ที่มีจำนวนผู้ที่เปิดบัญชีใหม่จำนวน 12,134 บัญชี และจากจำนวนบัญชีที่ลงทุนในกองทุน LTF ตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 จำนวน 137,073 บัญชี พบว่าเป็นผู้ที่เปิดบัญชีใหม่ถึง 62,805 บัญชี หรือคิดเป็น 45% แสดงให้เห็นว่าประชาชนมีความเข้าใจถึงสิทธิประโยชน์จากการลงทุนในกองทุน LTF และบอกต่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่ผู้รู้จักจึงทำให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้น” นายวิเชฐ กล่าว
นายเก่งกล้า รักเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ ตั้งเป้าการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ลงทุนอีกประมาณ 100,000 ราย แบ่งออกเป็นการเพิ่มขึ้นของผู้ลงทุนผ่านหน่วยลงทุนของกองทุนรวมจำนวน 75,000 ราย และลงทุนผ่านโบรกเกอร์ด้วยตัวเองอีก 25,000 ราย และคาดว่าขนาดของกองทุน LTF จะมีการขยายตัวต่อเนื่อง หลังจากที่ในช่วงที่ผ่านมากองทุนมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แม้ในปีนี้จะเป็นปีแรกที่กองทุนดังกล่าวสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้สำหรับผู้ที่ลงทุนมาตั้งแต่ปี 2547 แต่จากการสอบถามกับทางบลจ.ต่างๆ พบว่ามีผู้มาไถ่ถอนหน่วยลงทุนไม่มากนักและยังคงมีการเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ด้านแผนงานในปีนี้ ตลาดหลักทรัพย์จะทำงานร่วมกับสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และ บลจ.ต่างๆ เพื่อขยายฐานผู้ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวม ทั้งในส่วนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว, กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมโดยทั่วไป ขณะเดียวกันในส่วนของโครงการที่เกี่ยวกับการขยายฐานผู้ลงทุนผ่านกองทุน LTF ก็จะยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นในเรื่องของการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนให้มากขึ้น
“โครงการมีเงินต้องเก็บ มี LTF ต้องใช้ มีการจับรางวัลผู้โชคดีทั้งหมด 2 ครั้ง โดยเป็นหน่วยลงทุนมูลค่า 5,000 บาทต่อรางวัล ครั้งแรกจับไปแล้วในเดือนพฤศจิกายน 2550 มีผู้โชคดี 50 คู่คิดเป็นมูลค่ารางวัล 500,000 บาท และในเดือนกุมภาพันธ์นี้จับอีก 112 รางวัล คิดเป็นมูลค่า 710,000 บาท รวมเป็นเงินรางวัลที่มอบให้กับผู้โชคดีไปเป็นเงินทั้งสิ้น 1.2 ล้านบาท” นายเก่งกล้า กล่าว
สำหรับโครงการ “มีเงินต้องเก็บ มี LTF ต้องใช้ : Let’s Activate Your LTF- Investor Plus” เป็นโครงการที่เกิดจากความร่วมมือของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), สมาคมบริษัทจัดการลงทุน, โครงการให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 20 แห่ง และ ตลท.เพื่อขยายฐานการออมและวางแผนการเงินระยะยาว รวมถึงสนับสนุนการลงทุนผ่านสถาบัน ซึ่งช่วยให้สัดส่วนผู้ลงทุนสถาบันและรายบุคคลในตลาดหลักทรัพย์มีความสมดุลกันมากขึ้น
โดยที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ได้จัดอบรมและสัมมนาร่วมกับบริษัทจัดการกองทุนทั้ง 20 แห่ง รวม 73 ครั้ง เน้นที่การส่งเสริมการลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาวของพนักงานในบริษัทจดทะเบียน รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ที่สนใจ ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี
ส่วนรายงานงานข่าวจากสมาคมจัดการลงทุน (aimc) เปิดเผยว่า ณ วันที่ 25 มกราคม 2551 ทั้งระบบมีกองทุน LTF ทั้งสิ้น จำนวน 53 กองทุน คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 45,594.20 ล้านบาท โดย บลจ.ที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) สูงสุด 10 อันดับแรก ประกอบไปด้วย บลจ.ไทยพาณิชย์ มีกองทุนจำนวน 6 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 13,929.72 ล้านบาท, อันดับ 2 บลจ.กสิกรไทย มีกองทุนจำนวน 7 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 10,150.10 ล้านบาท, อันดับ 3 บลจ.บัวหลวง มีกองทุนจำนวน 2 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 5,794.25 ล้านบาท, อันดับ 4 บลจ.ทหารไทย มีกองทุนจำนวน 2 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 3,194.03 ล้านบาท
อันดับ 5 บลจ.อเบอร์ดีน มีกองทุนจำนวน 1 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2,999.78 ล้านบาท, อันดับ 6 บลจ.อยุธยา มีกองทุนจำนวน 4 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2,526.74 ล้านบาท, อันดับ 7 บลจ.ทิสโก้ มีกองทุนจำนวน 2 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1,155.52 ล้านบาท, อันดับ 8 บลจ. ธนชาต มีกองทุนจำนวน 2 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 995.61 ล้านบาท, อันดับ 9 บลจ.กรุงไทย มีกองทุนจำนวน 4 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 785.56 ล้านบาท และอันดับ 10 บลจ.ยูโอบี (ไทย) มีกองทุนจำนวน 1 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 784.25 ล้านบาท
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ สายงานศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ปี 2551 ขนาดของกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ในประเทศไทย น่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินว่าปีนี้ฐานลูกค้าของกองทุนดังกล่าวจะมีการขยายตัวผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ต่างๆ ประมาณ 75,000 คน เฉลี่ยวงเงินลงทุนรายละประมาณ 200,000 บาท คิดเป็นยอดเงินลงทุนรวมที่น่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน หลังจากตลาดหลักทรัพย์ได้มีการจัดกิจกรรม “มีเงินต้องเก็บ มี LTF ต้องใช้ : Let’s Activate Your LTF- Investor Plus” ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม - 31 ธันวาคม 2550 พบว่า กิจกรรมดังกล่าวได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามียอดซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาวเพิ่มขึ้นคิดเป็นมูลค่า 14,248 ล้านบาท สำหรับผู้ที่ลงทุนในกองทุน LTF ตั้งแต่ 20,000 บาท ขึ้นไป และส่งผลทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน LTF ทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็น 49,408 ล้านบาท
“จำนวนบัญชีใหม่ที่มีการลงทุนในกองทุน LTF แต่ละเดือนนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายที่ผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่งผลให้มีผู้ที่เปิดบัญชีใหม่ในกองทุน LTF สูงถึง 40,461 บัญชี หรือ 3.3 เท่าจากเดือนพฤศจิกายน ที่มีจำนวนผู้ที่เปิดบัญชีใหม่จำนวน 12,134 บัญชี และจากจำนวนบัญชีที่ลงทุนในกองทุน LTF ตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 จำนวน 137,073 บัญชี พบว่าเป็นผู้ที่เปิดบัญชีใหม่ถึง 62,805 บัญชี หรือคิดเป็น 45% แสดงให้เห็นว่าประชาชนมีความเข้าใจถึงสิทธิประโยชน์จากการลงทุนในกองทุน LTF และบอกต่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่ผู้รู้จักจึงทำให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้น” นายวิเชฐ กล่าว
นายเก่งกล้า รักเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ ตั้งเป้าการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ลงทุนอีกประมาณ 100,000 ราย แบ่งออกเป็นการเพิ่มขึ้นของผู้ลงทุนผ่านหน่วยลงทุนของกองทุนรวมจำนวน 75,000 ราย และลงทุนผ่านโบรกเกอร์ด้วยตัวเองอีก 25,000 ราย และคาดว่าขนาดของกองทุน LTF จะมีการขยายตัวต่อเนื่อง หลังจากที่ในช่วงที่ผ่านมากองทุนมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แม้ในปีนี้จะเป็นปีแรกที่กองทุนดังกล่าวสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้สำหรับผู้ที่ลงทุนมาตั้งแต่ปี 2547 แต่จากการสอบถามกับทางบลจ.ต่างๆ พบว่ามีผู้มาไถ่ถอนหน่วยลงทุนไม่มากนักและยังคงมีการเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ด้านแผนงานในปีนี้ ตลาดหลักทรัพย์จะทำงานร่วมกับสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และ บลจ.ต่างๆ เพื่อขยายฐานผู้ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวม ทั้งในส่วนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว, กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมโดยทั่วไป ขณะเดียวกันในส่วนของโครงการที่เกี่ยวกับการขยายฐานผู้ลงทุนผ่านกองทุน LTF ก็จะยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นในเรื่องของการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนให้มากขึ้น
“โครงการมีเงินต้องเก็บ มี LTF ต้องใช้ มีการจับรางวัลผู้โชคดีทั้งหมด 2 ครั้ง โดยเป็นหน่วยลงทุนมูลค่า 5,000 บาทต่อรางวัล ครั้งแรกจับไปแล้วในเดือนพฤศจิกายน 2550 มีผู้โชคดี 50 คู่คิดเป็นมูลค่ารางวัล 500,000 บาท และในเดือนกุมภาพันธ์นี้จับอีก 112 รางวัล คิดเป็นมูลค่า 710,000 บาท รวมเป็นเงินรางวัลที่มอบให้กับผู้โชคดีไปเป็นเงินทั้งสิ้น 1.2 ล้านบาท” นายเก่งกล้า กล่าว
สำหรับโครงการ “มีเงินต้องเก็บ มี LTF ต้องใช้ : Let’s Activate Your LTF- Investor Plus” เป็นโครงการที่เกิดจากความร่วมมือของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), สมาคมบริษัทจัดการลงทุน, โครงการให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 20 แห่ง และ ตลท.เพื่อขยายฐานการออมและวางแผนการเงินระยะยาว รวมถึงสนับสนุนการลงทุนผ่านสถาบัน ซึ่งช่วยให้สัดส่วนผู้ลงทุนสถาบันและรายบุคคลในตลาดหลักทรัพย์มีความสมดุลกันมากขึ้น
โดยที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ได้จัดอบรมและสัมมนาร่วมกับบริษัทจัดการกองทุนทั้ง 20 แห่ง รวม 73 ครั้ง เน้นที่การส่งเสริมการลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาวของพนักงานในบริษัทจดทะเบียน รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ที่สนใจ ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี
ส่วนรายงานงานข่าวจากสมาคมจัดการลงทุน (aimc) เปิดเผยว่า ณ วันที่ 25 มกราคม 2551 ทั้งระบบมีกองทุน LTF ทั้งสิ้น จำนวน 53 กองทุน คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 45,594.20 ล้านบาท โดย บลจ.ที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) สูงสุด 10 อันดับแรก ประกอบไปด้วย บลจ.ไทยพาณิชย์ มีกองทุนจำนวน 6 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 13,929.72 ล้านบาท, อันดับ 2 บลจ.กสิกรไทย มีกองทุนจำนวน 7 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 10,150.10 ล้านบาท, อันดับ 3 บลจ.บัวหลวง มีกองทุนจำนวน 2 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 5,794.25 ล้านบาท, อันดับ 4 บลจ.ทหารไทย มีกองทุนจำนวน 2 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 3,194.03 ล้านบาท
อันดับ 5 บลจ.อเบอร์ดีน มีกองทุนจำนวน 1 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2,999.78 ล้านบาท, อันดับ 6 บลจ.อยุธยา มีกองทุนจำนวน 4 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2,526.74 ล้านบาท, อันดับ 7 บลจ.ทิสโก้ มีกองทุนจำนวน 2 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1,155.52 ล้านบาท, อันดับ 8 บลจ. ธนชาต มีกองทุนจำนวน 2 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 995.61 ล้านบาท, อันดับ 9 บลจ.กรุงไทย มีกองทุนจำนวน 4 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 785.56 ล้านบาท และอันดับ 10 บลจ.ยูโอบี (ไทย) มีกองทุนจำนวน 1 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 784.25 ล้านบาท