ตลท.คาดกำไรสุทธิ บจ.ปี 50 ลดลง 13% จากปี 49 ที่มีกำไรสุทธิรวม 4.69 แสนล้านบาท เหตุต้นทุนการดำเนินงานเพิ่ม-การบริโภคชะลอตัว “วิเชฐ” คาดกำไร บจ.ปี 51โตกว่าปีก่อน ขณะที่โบรกเกอร์ประเมินกำไรบจ.ปีนี้โต20% ระบุกลุ่มแบงก์กำไรโตโดดเด่นสุดเหตุไม่ต้องตั้งสำรอง ทั้งยังได้อานิสงส์จากนโยบายลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ สายงานศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า กำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 2550 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง13% จากปี 2549 ซึ่งมีกำไรสุทธิรวม 469,354 ล้านบาท เนื่องจาก ช่วง 9 เดือนแรก 2550 เมื่อเทียบกับ 9 เดือน 2549 นั้นปรับตัวลดลง 13% จึงคาดว่า ทั้งปีกำไรสุทธิน่าจะปรับตัวลดลงในระดับดังกล่าว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันในยังอยู่ในระดับสูงรวมถึงอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น และการบริโภคในประเทศที่ชะลอตัว
ทั้งนี้ คาดว่า กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในปี 2551 มีอัตราการเติบโตของกำไรจะที่สูงกว่าปี 2550 ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่ากำไรสุทธิปีนี้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 20% จากปี 2550 เนื่องจากเชื่อว่าภาคเอกชนมีการปรับตัวได้ดีขึ้น แม้ว่าต้นทุนการดำเนินงานจะใกล้เคียงกับปี 2550 โดยคาดว่าราคาน้ำมันในปีนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่สูงมาก โดยคาดว่าจะไม่ถึง 100 เหรียญต่อบาร์เรล ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนนั้น เชื่อว่า ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการดูให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่วนในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยนั้นทาง ธปท.น่าจะพิจารณาเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ
สำหรับบริษัทจดทะเบียนที่จะมีการเติบโตของกำไรสุทธิที่สูงสุด คือ กลุ่มธนาคาร เนื่องจากในปีที่ผ่านมาได้มีการตั้งสำรองฯที่สูง ประกอบจะได้ประโยชน์จากรัฐบาลจะมีการเดินหน้าการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน (เมกะโปรเจกต์) ซึ่งจะทำให้ธนาคารพาณิชย์มีการปล่อยกู้มากขึ้น โดยในขณะนี้ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL มีการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อที่จะระดมเงินฝากให้มากขึ้น เพื่อรองรับการปล่อยกู้ในอนาคต ทำให้เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์อื่นๆ ก็จะมีการประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยเช่นเดียวกัน
“กำไร บจ.ปี 2551 คาดโตดีกว่าปี 2550 จากที่จะปรับตัวลดลง 13% จากปี 2549 เพราะภาคเอกชนมีการปรับตัวได้แล้ว ส่วนเรื่องราคาน้ำมัน ค่าเงินบาทนั้นจะไม่เป็นปัญหากับบจ.เนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันไม่น่าปรับตัวแตะ100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ต้นทุนการดำเนินงานต่างๆจะเหมือนกับปีที่ผ่านมา ซึ่งหุ้นกลุ่มที่จะมีกำไรโดดเด่น คือ แบงก์ และหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงการภาครัฐ” นายวิเชฐ กล่าว
นายวิเชฐ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ แนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มธนาคารก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจำนวนมากเช่นกัน โดย บล.บางแห่งประเมินว่า กำไรสุทธิของหุ้นกลุ่มแบงก์ปีนี้จะโตได้ถึง 50-60% นอกจากนี้ หุ้นที่จะได้รับประโยชน์อีกจากการลงทุนของภาครัฐ คือ หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
สำหรับหุ้นกลุ่มส่งออกส่วนตัวมองว่า ปีนี้ไม่น่าเป็นห่วง เพราะบริษัทส่งออกน่าจะมีการปรับตัวได้แล้วจากปัญหาอเมริกาที่มีการส่งสัญญาณมานานแล้ว รวมถึงค่าเงินและราคาน้ำมัน โดยมองว่ายอดการส่งออกไปอเมริกาในปีนี้จะปรับตัวลดลงแต่จะเพิ่มขึ้นในประเทศในแถบเอเชียมากขึ้น
ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่ารัฐบาลใหม่จะมีการเน้นกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจหลังรัฐบาลชุดก่อนนี้ไม่มีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจมากนัก
อย่างไรก็ตาม จากที่มีมองว่าผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ รวมถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังนั้นไม่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเศรษฐกิจนั้น ส่วนตัวมองว่าการทำงานนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคคลคนเดียวแต่จะต้องอาศัยการทำงานเป็นทีมที่จะช่วยทำให้เศรษฐกิจของไทยมีการเติบโตที่มั่นคง
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ สายงานศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า กำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 2550 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง13% จากปี 2549 ซึ่งมีกำไรสุทธิรวม 469,354 ล้านบาท เนื่องจาก ช่วง 9 เดือนแรก 2550 เมื่อเทียบกับ 9 เดือน 2549 นั้นปรับตัวลดลง 13% จึงคาดว่า ทั้งปีกำไรสุทธิน่าจะปรับตัวลดลงในระดับดังกล่าว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันในยังอยู่ในระดับสูงรวมถึงอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น และการบริโภคในประเทศที่ชะลอตัว
ทั้งนี้ คาดว่า กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในปี 2551 มีอัตราการเติบโตของกำไรจะที่สูงกว่าปี 2550 ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่ากำไรสุทธิปีนี้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 20% จากปี 2550 เนื่องจากเชื่อว่าภาคเอกชนมีการปรับตัวได้ดีขึ้น แม้ว่าต้นทุนการดำเนินงานจะใกล้เคียงกับปี 2550 โดยคาดว่าราคาน้ำมันในปีนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่สูงมาก โดยคาดว่าจะไม่ถึง 100 เหรียญต่อบาร์เรล ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนนั้น เชื่อว่า ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการดูให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่วนในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยนั้นทาง ธปท.น่าจะพิจารณาเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ
สำหรับบริษัทจดทะเบียนที่จะมีการเติบโตของกำไรสุทธิที่สูงสุด คือ กลุ่มธนาคาร เนื่องจากในปีที่ผ่านมาได้มีการตั้งสำรองฯที่สูง ประกอบจะได้ประโยชน์จากรัฐบาลจะมีการเดินหน้าการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน (เมกะโปรเจกต์) ซึ่งจะทำให้ธนาคารพาณิชย์มีการปล่อยกู้มากขึ้น โดยในขณะนี้ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL มีการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อที่จะระดมเงินฝากให้มากขึ้น เพื่อรองรับการปล่อยกู้ในอนาคต ทำให้เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์อื่นๆ ก็จะมีการประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยเช่นเดียวกัน
“กำไร บจ.ปี 2551 คาดโตดีกว่าปี 2550 จากที่จะปรับตัวลดลง 13% จากปี 2549 เพราะภาคเอกชนมีการปรับตัวได้แล้ว ส่วนเรื่องราคาน้ำมัน ค่าเงินบาทนั้นจะไม่เป็นปัญหากับบจ.เนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันไม่น่าปรับตัวแตะ100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ต้นทุนการดำเนินงานต่างๆจะเหมือนกับปีที่ผ่านมา ซึ่งหุ้นกลุ่มที่จะมีกำไรโดดเด่น คือ แบงก์ และหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงการภาครัฐ” นายวิเชฐ กล่าว
นายวิเชฐ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ แนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มธนาคารก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจำนวนมากเช่นกัน โดย บล.บางแห่งประเมินว่า กำไรสุทธิของหุ้นกลุ่มแบงก์ปีนี้จะโตได้ถึง 50-60% นอกจากนี้ หุ้นที่จะได้รับประโยชน์อีกจากการลงทุนของภาครัฐ คือ หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
สำหรับหุ้นกลุ่มส่งออกส่วนตัวมองว่า ปีนี้ไม่น่าเป็นห่วง เพราะบริษัทส่งออกน่าจะมีการปรับตัวได้แล้วจากปัญหาอเมริกาที่มีการส่งสัญญาณมานานแล้ว รวมถึงค่าเงินและราคาน้ำมัน โดยมองว่ายอดการส่งออกไปอเมริกาในปีนี้จะปรับตัวลดลงแต่จะเพิ่มขึ้นในประเทศในแถบเอเชียมากขึ้น
ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่ารัฐบาลใหม่จะมีการเน้นกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจหลังรัฐบาลชุดก่อนนี้ไม่มีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจมากนัก
อย่างไรก็ตาม จากที่มีมองว่าผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ รวมถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังนั้นไม่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเศรษฐกิจนั้น ส่วนตัวมองว่าการทำงานนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคคลคนเดียวแต่จะต้องอาศัยการทำงานเป็นทีมที่จะช่วยทำให้เศรษฐกิจของไทยมีการเติบโตที่มั่นคง