เนสกาแฟ สุดอั้น ขึ้นราคากาแฟทรีอินวัน-อินสแตนท์ 2-3 บาท ร่อนจดหมายแจ้งร้านค้า 1 ก.พ.ที่ผ่านมานี้ วอนรัฐบาลชุดใหม่เพิ่มโควตานำเข้าแก้ปัญหาระยะสั้น อัดฉีดกว่า 50 ล้านบาท ระเบิดแคมเปญครั้งแรกทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์เนสกาแฟกระตุ้นตลาด
นายประสพสุข สุทธาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ เปิดเผยว่า บริษัทได้ส่งจดหมายแจ้งกับทางร้านค้า ถึงการปรับราคาเนสกาแฟขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานี้ ทั้ง 2 กลุ่ม ได้แก่ เนสกาแฟทรีอินวัน ขึ้น 3% หรือ 2-3 บาท ส่วนกาแฟอินสแตนท์ ซึ่งถือว่าเป็นสินค้าควบคุม ได้ปรับขึ้น 2.8% หรือ 2-3 บาท โดยเพิ่มเป็น 100-101 บาท จากปัจจุบันขนาด 200 กรัม ราคา 98 บาท ซึ่งนับว่าเป็นการปรับราคาขึ้นที่เต็มเพดาน คือ 6-7% หลังจากในเดือนกรกฎาคม หรือ สิงหาคม บริษัทได้รับอนุมัติจากกรมการค้าภายในปรับราคาสินค้าขึ้นไปแล้ว 3%
เนื่องจากราคาเม็ดกาแฟจาก 52 บาทต่อกิโลกรัม ปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นอีก 15 บาท เป็น 67 บาท ต่อกิโลกรัมในปีนี้ ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าในตลาดลอนดอนที่จำหน่ายราคา 1,800 ดอลลาร์ต่อตัน เพราะกำลังผลิตในประเทศไม่พอกับความต้องการ โดยคนไทยดื่มกาแฟเพิ่มขึ้นเป็น 200 แก้วต่อคนต่อปี จาก 10 ปีที่แล้ว แค่ 50 แก้วต่อคนต่อปี สูงมากในอาเซียน รองจากฟิลิปปินส์ มีอัตราการดื่มเกือบ 300 แก้วต่อคนต่อปี
นายประสพสุข กล่าวว่า ปัญหาวัตถุดิบการผลิตกาแฟขึ้นราคา ภาครัฐควรแก้ปัญหาโดยการสร้างความสมดุลให้ตลาด ซึ่งในระยะสั้นภาครัฐควรเพิ่มโควตาการนำเข้าเม็ดกาแฟ จากปัจจุบันการอนุมัตินำเข้าเม็ดกาแฟน้อยมากประมาณ 5 ตันต่อปี ส่วนระยะยาว ควรส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเม็ดกาแฟเพิ่มขึ้น
ล่าสุด บริษัททุ่มงบ 50 ล้านบาท เปิดตัวแคมเปญ “โชคทองหอมกรุ่นกับเนสกาแฟ” ชิงโชคแก้วเนสกาแฟทองคำมูลค่า 1 ล้านบาท และของรางวัลอื่นๆ นับว่าเป็นครั้งแรกที่ทำแคมเปญชิงโชคโดยนำกลุ่มผลิตภัณฑ์เนสกาแฟทั้งหมดมาร่วมกัน โดยมีโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ กิจกรรม ณ จุดขาย ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 10 มิถุนายน นี้
ตลาดกาแฟโดยรวมมีมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง โดยตลาดกาแฟพร้อมดื่ม เป็นตลาดใหญ่ที่สุดแต่อัตราการดื่มยังน้อย โดยบริษัทมีส่วนแบ่งกว่า 30% เป็นอันดับสองรองจากเบอร์ดี้ ส่วนตลาดทรีอินวัน มีการเติบโตมากที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ โดยเนสกาแฟเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่งเกือบ 70% จากการเติบโตปีที่ผ่านมาถึง 30% ส่วน อินสแตนท์ เนสกาแฟเรดคัพ มีส่วนแบ่ง 94%
นายประสพสุข สุทธาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ เปิดเผยว่า บริษัทได้ส่งจดหมายแจ้งกับทางร้านค้า ถึงการปรับราคาเนสกาแฟขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานี้ ทั้ง 2 กลุ่ม ได้แก่ เนสกาแฟทรีอินวัน ขึ้น 3% หรือ 2-3 บาท ส่วนกาแฟอินสแตนท์ ซึ่งถือว่าเป็นสินค้าควบคุม ได้ปรับขึ้น 2.8% หรือ 2-3 บาท โดยเพิ่มเป็น 100-101 บาท จากปัจจุบันขนาด 200 กรัม ราคา 98 บาท ซึ่งนับว่าเป็นการปรับราคาขึ้นที่เต็มเพดาน คือ 6-7% หลังจากในเดือนกรกฎาคม หรือ สิงหาคม บริษัทได้รับอนุมัติจากกรมการค้าภายในปรับราคาสินค้าขึ้นไปแล้ว 3%
เนื่องจากราคาเม็ดกาแฟจาก 52 บาทต่อกิโลกรัม ปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นอีก 15 บาท เป็น 67 บาท ต่อกิโลกรัมในปีนี้ ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าในตลาดลอนดอนที่จำหน่ายราคา 1,800 ดอลลาร์ต่อตัน เพราะกำลังผลิตในประเทศไม่พอกับความต้องการ โดยคนไทยดื่มกาแฟเพิ่มขึ้นเป็น 200 แก้วต่อคนต่อปี จาก 10 ปีที่แล้ว แค่ 50 แก้วต่อคนต่อปี สูงมากในอาเซียน รองจากฟิลิปปินส์ มีอัตราการดื่มเกือบ 300 แก้วต่อคนต่อปี
นายประสพสุข กล่าวว่า ปัญหาวัตถุดิบการผลิตกาแฟขึ้นราคา ภาครัฐควรแก้ปัญหาโดยการสร้างความสมดุลให้ตลาด ซึ่งในระยะสั้นภาครัฐควรเพิ่มโควตาการนำเข้าเม็ดกาแฟ จากปัจจุบันการอนุมัตินำเข้าเม็ดกาแฟน้อยมากประมาณ 5 ตันต่อปี ส่วนระยะยาว ควรส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเม็ดกาแฟเพิ่มขึ้น
ล่าสุด บริษัททุ่มงบ 50 ล้านบาท เปิดตัวแคมเปญ “โชคทองหอมกรุ่นกับเนสกาแฟ” ชิงโชคแก้วเนสกาแฟทองคำมูลค่า 1 ล้านบาท และของรางวัลอื่นๆ นับว่าเป็นครั้งแรกที่ทำแคมเปญชิงโชคโดยนำกลุ่มผลิตภัณฑ์เนสกาแฟทั้งหมดมาร่วมกัน โดยมีโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ กิจกรรม ณ จุดขาย ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 10 มิถุนายน นี้
ตลาดกาแฟโดยรวมมีมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง โดยตลาดกาแฟพร้อมดื่ม เป็นตลาดใหญ่ที่สุดแต่อัตราการดื่มยังน้อย โดยบริษัทมีส่วนแบ่งกว่า 30% เป็นอันดับสองรองจากเบอร์ดี้ ส่วนตลาดทรีอินวัน มีการเติบโตมากที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ โดยเนสกาแฟเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่งเกือบ 70% จากการเติบโตปีที่ผ่านมาถึง 30% ส่วน อินสแตนท์ เนสกาแฟเรดคัพ มีส่วนแบ่ง 94%