หอการค้า ตปท.ในไทย ชี้ต่างชาติให้เวลารัฐบาลใหม่ 6 เดือน เพื่อดูผลงาน-การแก้ปัญหา ระบุ “เจ๊มิ่ง” จะคุมทีม ศก.ยังต้องพิสูจน์ฝีมือ ส่วน “หมอเลี้ยบ” ต้องมีทีมพีเลี้ยงคอยดูแล ขณะที่หอการค้าไทยจี้รัฐบาลใหม่ต้องเร่งแก้ปัญหาค่าครองชีพในทันที ชี้นโยบาย ศก.ต้องชัดเจนเพื่อฟื้นความเชื่อมั่น
อดีตประธานสภาหอการค้าต่างประเทศ ให้เวลารัฐบาลใหม่ 6 เดือนพิสูจน์ผลงาน ขณะเชื่อมือมิ่งขวัญ คุมงานเศรษฐกิจด้านนายแพทย์สุรพงษ์ ต้องมีทีมงานช่วยดูแล
นายปีเตอร์ จอห์น แวน ฮาเรน อดีตประธานสภาหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย เปิดเผยว่า ได้มีการพูดคุยกับสมาชิกหอการค้าต่างประเทศเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทย ภายหลังสถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจน ซึ่งนักธุรกิจต่างประเทศจะให้เวลารัฐบาลชุดใหม่ 6 เดือนในการดำเนินการด้านนโยบายเศรษฐกิจ
ขณะที่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะสามารถดำเนินนโยบายต่างๆ ได้สำเร็จ โดยเฉพาะการลงทุนระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ หรือเมกะโปรเจกต์ ซึ่งทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่น
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติมองว่าการที่พรรคประชาธิปัตย์ประกาศจะตรวจสอบรัฐบาลอย่างจริงจังก็จะทำให้พรรครัฐบาลเร่งสร้างผลงานได้เร็วขึ้น
สำหรับ ตำแหน่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ที่มีรายชื่อ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ จะเป็นผู้ดูแลในภาครวมนั้น อดีตประธานสภาหอการค้าฯ ตปท.กล่าวว่า ควรจะให้โอกาสในการพิสูจน์ผลงาน ซึ่งที่ผ่านมา นายมิ่งขวัญถือว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ เป็นที่ยอมรับของนักธุรกิจในระดับหนึ่ง
ส่วนกรณีของนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี (หมอเลี้ยบ) เลขาธิการพรรคพลังประชาชน (พปช.) ที่อาจจะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้น ควรจะมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจเข้ามาช่วยดูแล
**นลท.ขาดความเชื่อมั่น นโยบาย ศก.ต้องชัดเจน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ขณะนี้นักลงทุนกำลังจับตามองเศรษฐกิจไทยอยู่ รัฐบาลควรแสดงให้นักลงทุนเห็นถึงเสถียรภาพของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการชูนโยบายให้เกิดเป็นรูปธรรมและชัดเจน เพื่อคลายความกังวลที่มีต่อการลงทุนและภาคธุรกิจไทย เนื่องจากสัญญาณการฟื้นเศรษฐกิจจากภาครัฐเป็นสิ่งสำคัญ ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้สามารถขับเคลื่อนและฟื้นตัวดีขึ้น และมีอัตราการขยายตัวอยู่ในกรอบที่ 4.5–5.0%
เนื่องจากขณะนี้เกิดความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่มาจากสินเชื่อคุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) ของสหรัฐฯ ทำให้เศรษฐกิจโลกมีอัตราการขยายตัวที่ยังไม่แน่นอนว่าจะชะลอตัวลงมากเท่าใด ขณะเดียวกัน หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ภาคการส่งออกที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของไทยเมื่อปีที่แล้วอาจมีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้ไม่มากนัก
ดังนั้น ภาคการส่งออกของไทยจึงยังไม่แน่นอน อีกทั้งสถานการณ์ของราคาพลังงานยังมีความผันผวนอยู่มาก ไม่ว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้ต้นทุนการขนส่งของไทยสูงขึ้น ภาคเอกชนจึงอยากให้รัฐบาลเข้ามาดูในเรื่องของพลังงาน พร้อมเร่งส่งเสริมทิศทางของพลังงานทดแทนที่ชัดเจน เพื่อที่ภาคเอกชนกล้าเข้ามาลงทุนในการผลิตแก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซลเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อไทยในอนาคต
นายธนวรรธน์ พลวิชัย กล่าวว่า อัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยของโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวลง โดยเฉพาะดอกเบี้ยของสหรัฐฯ อาจทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าเร็วขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าห่วงมาก รัฐบาลจึงควรให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลค่าเงินบาทให้เหมาะสมกับการส่งออกและไม่แข็งค่าจนเกินไป
**จี้แก้ปัญหาเร่งด่วน เงินเดือน-ค่าครองชีพ
นายธนวรรธน์ ระบุว่า จุดแรกในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจประเทศของรัฐบาลใหม่ รัฐบาลต้องแก้ปัญหาเร่งด่วนเรื่องค่าครองชีพของประชาชนที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น การสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค ผู้ประกอบการ นักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวน้อยกว่าเป้าที่ควรจะเป็น จากการขาดความเชื่อมั่น ส่งผลให้การบริโภคชะลอตัวลง
ขณะเดียวกัน การลงทุนภาคเอกชนก็ชะลอตัวเช่นกันจากความไม่ชัดเจนในทิศทางเศรษฐกิจไทย ดังนั้น รัฐบาลควรเร่งหานโยบายเศรษฐกิจที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ในระยะยาว เพื่อให้ภาคประชาชนและนักธุรกิจเกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น ที่สำคัญควรสนับสนุนเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจให้หมุนเวียนทั่วประเทศ จะช่วยให้เกิดการจ้างงานและซื้อขายวัตถุดิบในประเทศมากขึ้น รวมไปถึงส่งเสริมโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐให้ภาคเอกชนเห็นว่า มีโครงการลงทุนที่น่าสนใจ และการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเกินไป เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งก็จะทำให้การส่งออกขยับตัวได้ดี
“ปัญหาอันดับแรกที่รัฐบาลต้องแก้ไข คือ ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาพลังงาน ค่าไฟฟ้า และก๊าซหุงต้ม หากรัฐบาลสามารถจัดการให้ราคาพลังงานไม่สูงเกินไป และมีการพูดคุยกับภาคเอกชนไม่ให้มีการปรับราคาสินค้ามากเกินไปจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน”
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2551 ราคาสินค้ามีการปรับตัวสูงขึ้นในระดับ 3.5-4.0% จึงมั่นใจว่าการลงทุนของเอกชนและการบริโภคของประชาชนจะปรับตัวดีขึ้นตามมา ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวในอัตรา 5% ได้จริงตามเป้าหมายที่วางไว้