แอลจี ทุ่มเม็ดเงินกว่า 1,000 ล้านบาท เดินหน้าการลงทุนในไทย ทั้งย้ายกำลังการผลิตแอร์พาณิชย์ เพิ่มไลน์การผลิตจอภาพ ซูเปอร์สลิมใหม่ และผุดหน่วยงาน CAC หวังดึงยอดส่งออกโตไม่ต่ำกว่า 20% จาก 2.3 หมื่นล้านบาท ในปีก่อน พร้อมดันรายได้ในประเทศทะลุอีก 30% หรือกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท ภายใต้ผู้กุมบังเหียนคนใหม่
นายเฮียน วู (ฮาร์เวิร์ด) ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เนื่องจากตนเพิ่งเข้ามารับทำงานในตำแหน่งในแอลจีประเทศไทยต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยปีนี้คาดว่าจะลงทุนในไทยประมาณ 1,000 ล้านบาท หรือ 30 ล้านเหรียญ ซึ่งใกล้เคียงกับที่ผ่านมา
งบประมาณส่วนใหญ่จะใช้สำหรับแผนการย้ายฐานกำลังการผลิตเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ ในรุ่น มัลติ วี จากประเทศเกาหลี มาประเทศไทยปีนี้ และเป็นฐานผลิตในกลุ่มอาฟตาด้วย เนื่องจากมองว่าตลาดเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ในประเทศไทยกำลังมีศักยภาพที่ดีขึ้น บวกกับทิศทางการลงทุนของอสังหาริมทรัพย์ที่จะเกิดขึ้นอีกหลายโครงการ
โดยรุ่นมัลติ วี ถือเป็นรุ่นที่จะนำมาเจาะตลาดโครงการอาคารสูงและคอนโดมิเนียม คาดว่า จะขึ้นเป็นผู้นำในกลุ่มดังกล่าวได้ หรือมีส่วนแบ่งทางการตลาดนี้เป็น 5% หลังจากที่เริ่มทำตลาดเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2550 ปัจจุบันมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 1-2% โดยมี 4 แบรนด์หลักผู้นำ มีส่วนแบ่งรวมกันไม่ต่ำกว่า 80% คือ แคเรียร์, เทรน, ยอร์ค และ ไดกิ้น จากมูลค่าตลาดเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์รวม 400,000 ยูนิต
นอกจากนั้น เป็นการก่อตั้งหน่วย CAC (Commercial Air Condition) ด้วยงบกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งเป็นหน่วยด้านวิจัยและพัฒนาสำหรับการพัฒนานวัตกรรมเกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศต่อไป เบื้องต้นคาดว่า จะมีพนักงานประมาณ 40 คน โดยมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญจากเกาหลี 5 คนนอกจากนี้ บริษัทยังจะมีการลงทุนเพิ่มไลน์การผลิตของกลุ่มจอภาพ คือ รุ่น ซูเปอร์สลิม ใหม่ รวมถึง แอลซีดีทีวี ด้วย
ส่วนเครื่องปรับอากาศในบ้าน ปีนี้ตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดที่ 20% จากเดิม 18% ในปีก่อน หรือมียอดขายที่ 1.7 แสนยูนิต คิดเป็นมูลค่า 2,600 ล้านบาท เติบโต 35% จากปีที่แล้ว ขณะที่มูลค่าตลาดรวมแอร์บ้านปีนี้คาดว่าจะโตขึ้น 8% หรือกว่า 13,000 ล้านบาท คิดเป็นจำนวน 8.5 แสนยูนิต
โดยแผนการตลาดปีนี้จะเน้นจำหน่ายสินค้าในระดับพรีเมียมมากขึ้น รวมทั้งใช้กลยุทธ์โฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่าน เอ็กซ์พีเรียนซ์ มาร์เก็ตติ้ง โดยการให้สัมผัสสินค้า ณ LG ART COOL Gallery ถึง 43 สาขา จากเดิมที่มี 10 สาขาในปีก่อน และในส่วนตัวแทนจำหน่ายอีก 600 ราย จากเดิม 450 รายในปีก่อนเช่นกัน
นายอลงกรณ์ ชูจิตร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวต่อว่า สำหรับผลประกอบการในปีนี้ คาดว่า จะอยู่ที่ประมาณ 39,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น จำหน่ายในประเทศ 16,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 30% จาก13,000 ล้านบาท ในปีก่อน และส่งออก 25,000 ล้านบาท โตขึ้น 20% จาก 23,000 ล้านบาทในปีก่อน
โดยการส่งออกนั้นจะค่อนข้างลำบาก เพราะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้การเติบโตของเศรษฐกิจไม่ค่อยดี บวกกับอัตราการแลกเปลี่ยนที่มองว่าจะแข็งค่าขึ้น ดังนั้น ยอดการส่งออกที่จะเป็นไปตามเป้าอาจจะยาก แต่ทางบริษัทได้เตรียมแผนรองรับไว้แล้ว เช่น จะเน้นส่งออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพรีเมียมมากขึ้น พร้อมทั้งพยายามลดต้นทุนการผลิต รวมถึงเน้นการส่งออกในจำนวนที่มากขึ้นด้วย
นายเฮียน วู (ฮาร์เวิร์ด) ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เนื่องจากตนเพิ่งเข้ามารับทำงานในตำแหน่งในแอลจีประเทศไทยต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยปีนี้คาดว่าจะลงทุนในไทยประมาณ 1,000 ล้านบาท หรือ 30 ล้านเหรียญ ซึ่งใกล้เคียงกับที่ผ่านมา
งบประมาณส่วนใหญ่จะใช้สำหรับแผนการย้ายฐานกำลังการผลิตเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ ในรุ่น มัลติ วี จากประเทศเกาหลี มาประเทศไทยปีนี้ และเป็นฐานผลิตในกลุ่มอาฟตาด้วย เนื่องจากมองว่าตลาดเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ในประเทศไทยกำลังมีศักยภาพที่ดีขึ้น บวกกับทิศทางการลงทุนของอสังหาริมทรัพย์ที่จะเกิดขึ้นอีกหลายโครงการ
โดยรุ่นมัลติ วี ถือเป็นรุ่นที่จะนำมาเจาะตลาดโครงการอาคารสูงและคอนโดมิเนียม คาดว่า จะขึ้นเป็นผู้นำในกลุ่มดังกล่าวได้ หรือมีส่วนแบ่งทางการตลาดนี้เป็น 5% หลังจากที่เริ่มทำตลาดเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2550 ปัจจุบันมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 1-2% โดยมี 4 แบรนด์หลักผู้นำ มีส่วนแบ่งรวมกันไม่ต่ำกว่า 80% คือ แคเรียร์, เทรน, ยอร์ค และ ไดกิ้น จากมูลค่าตลาดเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์รวม 400,000 ยูนิต
นอกจากนั้น เป็นการก่อตั้งหน่วย CAC (Commercial Air Condition) ด้วยงบกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งเป็นหน่วยด้านวิจัยและพัฒนาสำหรับการพัฒนานวัตกรรมเกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศต่อไป เบื้องต้นคาดว่า จะมีพนักงานประมาณ 40 คน โดยมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญจากเกาหลี 5 คนนอกจากนี้ บริษัทยังจะมีการลงทุนเพิ่มไลน์การผลิตของกลุ่มจอภาพ คือ รุ่น ซูเปอร์สลิม ใหม่ รวมถึง แอลซีดีทีวี ด้วย
ส่วนเครื่องปรับอากาศในบ้าน ปีนี้ตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดที่ 20% จากเดิม 18% ในปีก่อน หรือมียอดขายที่ 1.7 แสนยูนิต คิดเป็นมูลค่า 2,600 ล้านบาท เติบโต 35% จากปีที่แล้ว ขณะที่มูลค่าตลาดรวมแอร์บ้านปีนี้คาดว่าจะโตขึ้น 8% หรือกว่า 13,000 ล้านบาท คิดเป็นจำนวน 8.5 แสนยูนิต
โดยแผนการตลาดปีนี้จะเน้นจำหน่ายสินค้าในระดับพรีเมียมมากขึ้น รวมทั้งใช้กลยุทธ์โฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่าน เอ็กซ์พีเรียนซ์ มาร์เก็ตติ้ง โดยการให้สัมผัสสินค้า ณ LG ART COOL Gallery ถึง 43 สาขา จากเดิมที่มี 10 สาขาในปีก่อน และในส่วนตัวแทนจำหน่ายอีก 600 ราย จากเดิม 450 รายในปีก่อนเช่นกัน
นายอลงกรณ์ ชูจิตร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวต่อว่า สำหรับผลประกอบการในปีนี้ คาดว่า จะอยู่ที่ประมาณ 39,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น จำหน่ายในประเทศ 16,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 30% จาก13,000 ล้านบาท ในปีก่อน และส่งออก 25,000 ล้านบาท โตขึ้น 20% จาก 23,000 ล้านบาทในปีก่อน
โดยการส่งออกนั้นจะค่อนข้างลำบาก เพราะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้การเติบโตของเศรษฐกิจไม่ค่อยดี บวกกับอัตราการแลกเปลี่ยนที่มองว่าจะแข็งค่าขึ้น ดังนั้น ยอดการส่งออกที่จะเป็นไปตามเป้าอาจจะยาก แต่ทางบริษัทได้เตรียมแผนรองรับไว้แล้ว เช่น จะเน้นส่งออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพรีเมียมมากขึ้น พร้อมทั้งพยายามลดต้นทุนการผลิต รวมถึงเน้นการส่งออกในจำนวนที่มากขึ้นด้วย