ผู้จัดการรายวัน – ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าแข่งดุ “แอลจี” ฉีกทำตลาดภูธร สานต่อกลยุทธ์การขายใหม่ ให้ความสำคัญกับการขายในแต่ละภูมิภาค ชู “สตาร์ซ ดีลเลอร์” 28 แห่ง ต่อยอดร้านดีลเลอร์เดิมที่มีอยู่ ลุยขายสินค้ากลุ่มเอชเอ ระดับพรีเมี่ยม มองมาร์จิ้นสูง เลี่ยงแข่งขันด้านราคา พร้อมดันภาพลักษณ์สู่พรีเมี่ยมแบรนด์ มั่นใจสิ้นปีสินค้ากลุ่มเอชเอ ขยับอีก 18% หรือกว่า 3,500 ล้านบาท
นายเฮียน วู (ฮาเวิร์ด) ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าปีนี้คาดว่าจะโตได้เพียง 3% หรือโตเท่ากับปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากการแข่งขันทางด้านราคา และการถือครองสินค้าบางตัวที่มีอยู่แล้ว 100% และที่สำคัญมาจากปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจ แม้ว่าครึ่งปีหลังราคาน้ำมันอาจจะดีขึ้น แต่เชื่อว่าตลาดจะกลับมาดีอีกครั้งในปีหน้า
สำหรับแอลจีในปีนี้มองว่า จะมีการเติบโตกว่า 15% คิดเป็นมูลค่ารายได้รวมกว่า 15,000 ล้านบาท (ไม่รวมส่งออก) โดยการเติบโตส่วนใหญ่มาจากกลุ่มสินค้าภายในบ้านหรือเอชเอ ที่คาดว่าจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้น 18% เทียบกับปีก่อน หรือคาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 3,500 ล้านบาทในปีนี้ ซึ่งการทำให้สินค้ากลุ่มเอชเอ เติบโตตามเป้า จะมาจากการปรับกลยุทธ์ด้านการขายแบบใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจ ด้วยการแต่งตั้งร้านค้าแทนจำหน่าย 28 แห่งจากที่มีอยู่ 400 แห่งทั่วประเทศ ตั้งให้เป็น “Starz Dealer” หรือ สตาร์ซ ดีลเลอร์ ในการที่จะมาเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับสินค้ากลุ่มเอชเอระดับพรีเมี่ยมของแอลจี
นายอลงกรณ์ ชูจิตร รองกรรมกาสรผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สตาร์ซ ดีลเลอร์ ทั้ง 28 รายนี้ เปรียบเหมือนพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่ทางบริษัทฯจะดึงมาใช้ในส่วนของกลยุทธ์การขายและการจัดจำหน่าย ในลักษณะเอ็กซ์คลูซีฟดีลเลอร์ ที่ทางบริษัทฯวางให้เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้ากลุ่มเอชเอระดับพรีเมี่ยม หลังจากนี้ ซึ่งทางร้านเหล่านี้ยังคงสามารถจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์อื่นๆได้ต่อไป แต่สัดส่วนสินค้าของแอลจีจะอยู่ที่ 30% ของจำนวนแบรนด์สินค้าที่วางขายในร้าน ภายใต้งบการตลาดกว่า 25 ล้านบาทที่นำมาใช้กับโปรแกรม สตาร์ซ ดีลเลอร์นี้
โดยสินค้าใหม่ที่วางตลาดในครึ่งปีหลังนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นพรีเมี่ยมโปรดักส์ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องซักผ้าจำนวนกว่า 10 รุ่น, ตู้เย็นไซด์บายไซด์ 3 รุ่น เครื่องซักผ้าฝาหน้า 4-5 รุ่น ขณะที่ไมโครเวฟและเครื่องดูดฝุ่นยังไม่แผนจะออกใหม่ หลังจากที่เปิดตัวไปบ้างแล้วในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา
“กลยุทธ์ สตาร์ซ ดีลเลอร์ จะเริ่มหลังจากนี้ คาดว่าสิ้นปีน่าจะวัดผลได้ว่าจะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน อย่างไรก็ตามมองว่ากลยุทธ์ดังกล่าว ถือว่ามาถูกทางแล้วในภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันที่เกิดขึ้น การที่บริษัทฯพยายามมุ่งมาจำหน่ายสินค้าระดับพรีเมี่ยมมากยิ่งขึ้น เชื่อว่าในภาพรวมจะส่งผลต่อรายได้ที่สูงขึ้น เนื่องจากสินค้าพรีเมี่ยมโปรดักส์จะมีมาร์จิ้นสูงกว่าสินค้าระดับแมสทั่วไป ส่วนการรุกในระดับภูมิภาค เพราะมองว่ายังมีช่องว่างในการทำตลาดอยู่สูง ขณะเดียวกันยังเป็นการหลีกหลีการแข่งขันทางด้านราคาอีกทางหนึ่งด้วย ที่สำคัญยังเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่จะช่วยผลักดันในเรื่องของการสร้างแบรนด์แอลจีสู่ระดับพรีเมี่ยม ตามที่โกลบอลคาดหวังไว้ ซึ่งกลยุทธ์การขายระดับภูมิภาคนี้ กำลังถูกนำไปใช้ในระดับอาเซียนด้วย”
นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้พัฒนาบุคลากรด้านการขายขึ้นมาเพื่อช่วยร้านดีลเลอร์เหล่านี้ด้วย กับทีม “S.W.A.T Team” จำนวนกว่า 120 คน รวมถึงโปรแกรมการขายต่างๆที่ดีลเลอร์สามารถช่วยกันคิดให้สอดคล้องกับการทำตลาดในแต่ละภูมิภาคของตน เชื่อว่าจะช่วยให้รายได้กลุ่มเอชเอเป็นไปตามที่คาดหวังไว้ คือ
เครื่องซักผ้า จะมีส่วนแบ่งทางการตลาด 20% ครองอันดับหนึ่งในสิ้นปีนี้ ส่วนตู้เย็น ไซด์บายไซด์ คาดว่าจะมีแชร์ 30% ในสิ้นปีนี้ ไมโครเวฟและเครื่องดูดฝุ่น จะมีส่วนแบ่ง 25% และ 15% ตามลำดับในสิ้นปีนี้เช่นกัน
นายเฮียน วู (ฮาเวิร์ด) ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าปีนี้คาดว่าจะโตได้เพียง 3% หรือโตเท่ากับปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากการแข่งขันทางด้านราคา และการถือครองสินค้าบางตัวที่มีอยู่แล้ว 100% และที่สำคัญมาจากปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจ แม้ว่าครึ่งปีหลังราคาน้ำมันอาจจะดีขึ้น แต่เชื่อว่าตลาดจะกลับมาดีอีกครั้งในปีหน้า
สำหรับแอลจีในปีนี้มองว่า จะมีการเติบโตกว่า 15% คิดเป็นมูลค่ารายได้รวมกว่า 15,000 ล้านบาท (ไม่รวมส่งออก) โดยการเติบโตส่วนใหญ่มาจากกลุ่มสินค้าภายในบ้านหรือเอชเอ ที่คาดว่าจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้น 18% เทียบกับปีก่อน หรือคาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 3,500 ล้านบาทในปีนี้ ซึ่งการทำให้สินค้ากลุ่มเอชเอ เติบโตตามเป้า จะมาจากการปรับกลยุทธ์ด้านการขายแบบใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจ ด้วยการแต่งตั้งร้านค้าแทนจำหน่าย 28 แห่งจากที่มีอยู่ 400 แห่งทั่วประเทศ ตั้งให้เป็น “Starz Dealer” หรือ สตาร์ซ ดีลเลอร์ ในการที่จะมาเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับสินค้ากลุ่มเอชเอระดับพรีเมี่ยมของแอลจี
นายอลงกรณ์ ชูจิตร รองกรรมกาสรผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สตาร์ซ ดีลเลอร์ ทั้ง 28 รายนี้ เปรียบเหมือนพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่ทางบริษัทฯจะดึงมาใช้ในส่วนของกลยุทธ์การขายและการจัดจำหน่าย ในลักษณะเอ็กซ์คลูซีฟดีลเลอร์ ที่ทางบริษัทฯวางให้เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้ากลุ่มเอชเอระดับพรีเมี่ยม หลังจากนี้ ซึ่งทางร้านเหล่านี้ยังคงสามารถจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์อื่นๆได้ต่อไป แต่สัดส่วนสินค้าของแอลจีจะอยู่ที่ 30% ของจำนวนแบรนด์สินค้าที่วางขายในร้าน ภายใต้งบการตลาดกว่า 25 ล้านบาทที่นำมาใช้กับโปรแกรม สตาร์ซ ดีลเลอร์นี้
โดยสินค้าใหม่ที่วางตลาดในครึ่งปีหลังนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นพรีเมี่ยมโปรดักส์ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องซักผ้าจำนวนกว่า 10 รุ่น, ตู้เย็นไซด์บายไซด์ 3 รุ่น เครื่องซักผ้าฝาหน้า 4-5 รุ่น ขณะที่ไมโครเวฟและเครื่องดูดฝุ่นยังไม่แผนจะออกใหม่ หลังจากที่เปิดตัวไปบ้างแล้วในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา
“กลยุทธ์ สตาร์ซ ดีลเลอร์ จะเริ่มหลังจากนี้ คาดว่าสิ้นปีน่าจะวัดผลได้ว่าจะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน อย่างไรก็ตามมองว่ากลยุทธ์ดังกล่าว ถือว่ามาถูกทางแล้วในภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันที่เกิดขึ้น การที่บริษัทฯพยายามมุ่งมาจำหน่ายสินค้าระดับพรีเมี่ยมมากยิ่งขึ้น เชื่อว่าในภาพรวมจะส่งผลต่อรายได้ที่สูงขึ้น เนื่องจากสินค้าพรีเมี่ยมโปรดักส์จะมีมาร์จิ้นสูงกว่าสินค้าระดับแมสทั่วไป ส่วนการรุกในระดับภูมิภาค เพราะมองว่ายังมีช่องว่างในการทำตลาดอยู่สูง ขณะเดียวกันยังเป็นการหลีกหลีการแข่งขันทางด้านราคาอีกทางหนึ่งด้วย ที่สำคัญยังเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่จะช่วยผลักดันในเรื่องของการสร้างแบรนด์แอลจีสู่ระดับพรีเมี่ยม ตามที่โกลบอลคาดหวังไว้ ซึ่งกลยุทธ์การขายระดับภูมิภาคนี้ กำลังถูกนำไปใช้ในระดับอาเซียนด้วย”
นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้พัฒนาบุคลากรด้านการขายขึ้นมาเพื่อช่วยร้านดีลเลอร์เหล่านี้ด้วย กับทีม “S.W.A.T Team” จำนวนกว่า 120 คน รวมถึงโปรแกรมการขายต่างๆที่ดีลเลอร์สามารถช่วยกันคิดให้สอดคล้องกับการทำตลาดในแต่ละภูมิภาคของตน เชื่อว่าจะช่วยให้รายได้กลุ่มเอชเอเป็นไปตามที่คาดหวังไว้ คือ
เครื่องซักผ้า จะมีส่วนแบ่งทางการตลาด 20% ครองอันดับหนึ่งในสิ้นปีนี้ ส่วนตู้เย็น ไซด์บายไซด์ คาดว่าจะมีแชร์ 30% ในสิ้นปีนี้ ไมโครเวฟและเครื่องดูดฝุ่น จะมีส่วนแบ่ง 25% และ 15% ตามลำดับในสิ้นปีนี้เช่นกัน