xs
xsm
sm
md
lg

ธอส.ฝันหวานปลุกชีพอสังหาฯ งัด 3 แพกเกจ เสนอรัฐบาลใหม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“ขรรค์ ประจวบเหมาะ” เตรียมเสนอ 3 มาตรการ กระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ให้รัฐบาลใหม่พิจารณา ระบุ หากแบงก์ชาติปรับลดดอกเบี้ยตามเฟด จะส่งผลดีต่อ ภาคอสังหาริมทรัพย์ และช่วยกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจ

นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า จากภาวะกำลังซื้อบ้านของผู้บริโภคที่ชะลอตัวอยู่ในขณะนี้ ส่งผลให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อได้เพียง 94,000 ล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 95,000 ล้านบาท โดยต่ำกว่าเป้าอยู่ 1,000 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2549 ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อได้ถึง 100,000 ล้านบาทนั้น ขณะนี้กำลังรอดูอยู่ว่ารัฐบาลชุดใหม่นี้จะใช้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2551 หรือไม่ เนื่องจาก นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงลี ที่คาดว่า จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวว่า จะใช้การลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50% เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และหากรัฐบาลใหม่ต้องการที่จะธุรกิจอสังหาฯ จริง อยากให้พิจารณาเรื่องการนำมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมต่างๆ กลับมาใช้อีกครั้ง ซึ่งเมื่อช่วงวิกฤตปี 2540 ได้เคยนำมาใช้ครั้งหนึ่งแล้ว ประกอบด้วย การลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% ค่าธรรมเนียมในการจดจำนองจาก 2% เหลือ 0.001% และค่าจดจำนองจาก 3.3% เหลือ 0.01% อีกทั้งควรสนับสนุนให้เกิดการออมก่อนกู้ซื้อบ้าน ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารมีโปรแกรมออกนี้อยู่ คือ ฝากเงินออมไว้กับธนาคาร 5 ปี ในอัตราดอกเบี้ยที่คุณกำหนดได้ แต่ต้องไม่เกินอัตราที่ธนาคารกำหนดไว้ ส่วนที่เหลือกู้ได้ 100% ในอัตราดอกเบี้ยคงที่ 7 ปี

นอกจากนั้นแล้ว ควรสนับสนุนในเรื่องการค้ำประกันเงินกู้ หรือมอร์เกจอินชัวรันช์ ซึ่งเมื่อวันที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมคณะกรรมการกฤษฎีกา ธอส.เพื่อหารือสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทค้ำประกันเงินกู้ โดย ธอส.ถือหุ้นในสัดส่วน 25% ส่วนทีเหลือเป็นบริษัทประกันชีวิตที่ร่วมทำธุรกิจกับ ธอส.ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ 11 ราย และบริษัทประกันภัยอีก 23 ราย บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (SMI) ทั้งนี้ ถ้าหากธนาคารพาณิชย์รายใดสนใจก็สามารถเข้าร่วมได้ อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งบริษัทประกันเงินกู้จะต้องขอมติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติให้ตั้งบริษัทประกันใหม่ได้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ไม่อนุมัติให้มีการตั้งบริษัทประกันใหม่ อย่างไรก็ดี เชื่อว่า ครม.จะอนุมัติเพราะถือว่าเป็นกรณีพิเศษ สุดท้ายคือ เรื่องของการหาแหล่งเงินกู้ที่จะนำมาปล่อยกู้ให้กับผู้ซื้อบ้านได้ในอัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะยาว

สำหรับในเรื่องของการที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.75% จาก 4.25% เหลือ 3.52% เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพในภาคอสังหาฯ หรือซับไพรม์ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น ซึ่งขณะนี้อัตราดอกเบี้ยลดลงมาอยู่ที่ใกล้เคียงกับประเทศไทยมาก คือ 3.2% หากประเทศไทยไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตาม อาจทำให้เกิดการไหลข้าวของเม็ดเงินจากต่างชาติ ทำให้ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นอีก และจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก ดังนั้น จึงเชื่อว่า ภายในเดือนเมษายนนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกประมาณ 0.25% เพราะในเดือนเมษายนนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งถ้าหาก ธปท.ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย ธอส.ก็จะพิจารณาปรับลดตามโดยคาดว่าน่าจะปรับลดอยู่ที่ 0.25%

“การปรับอัตราดอกเบี้ยลง เชื่อว่า จะส่งผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพราะจะทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น รวมถึงต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการก็ลดลงตามด้วยก็จะไปช่วยในเรื่องของต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น”

ส่วนผลการดำเนินงานของ ธอส.ในปี 2550 สามารถปล่อยสินเชื่อได้ 94,000 ล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ 95,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2551 อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะปล่อยสินเชื่อระหว่าง 90,000-100,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องพิจารณาจากคณะรัฐบาลใหม่โดยเฉพาะรัฐมนตรีกระทรวงการคลังว่าจะเป็นใคร ซึ่งใครจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งก็ได้ แต่จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในด้านการเงินการคลัง อีกยังต้องได้รับการยอมรับจากภาคประชาชน วงการการเงิน และนักลงทุนด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น