นักเศรษฐศาสตร์ ฟันธง รัฐบาลพลังประชาชน เป็นได้แค่รัฐบาลฟอกขาว ทั้งอดีตนายกฯ ประธานรัฐสภา และ ว่าที่นายกฯ ล้วนมีคดีความให้ต้องสะสางไม่มีเวลาแก้เศรษฐกิจ สงครามความขัดแย้งทางการเมืองจะยังคงรุนแรง ไม่มีแนวโน้มรอมชอม
เมื่อวานนี้ (24 ม.ค.) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสัมมนาในหัวข้อเรื่อง “นโยบายเศรษฐกิจการเงินและการเมือง 2551” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นายชวินทร์ ลีนะบรรจง อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึง การบริหารงานภายใต้การนำของพรรคพลังประชาชน ที่กำลังเตรียมจัดตั้งรัฐบาลในขณะนี้ ว่า ไม่มั่นใจว่า รัฐบาลของพรรคพลังประชาชนจะสามารถพาประเทศผ่านพ้นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่เกิดขึ้นทั่วโลกในขณะนี้ได้ เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้ไม่มีแนวนโยบายเศรษฐกิจที่ชัดเจน การหาเสียงที่ผ่านมา ไม่ได้พูดถึงนโยบายเศรษฐกิจมากนัก ซึ่งที่ผ่านมา ก็ได้ประกาศภารกิจชัดเจนว่าจะเข้ามาทำหน้าที่เพื่อสะสางคดีความให้กับอดีตผู้นำประเทศ
ข้อสังเกตประการหนึ่ง คือ การตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่รัฐบาลชุดนี้ไม่ให้ความสำคัญเท่าไหร่ จะเอาใครเข้ามาบริหารก็ได้ เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญกับการสะสางคดีความมากกว่า นอกจากนี้ ทั้งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ประมุขฝ่ายบริหาร ก็ล้วนแล้วแต่มีคดีความติดตัว ดังนั้น การเข้ามาทำงานในครั้งนี้จึงถือเป็นเดิมพันสำคัญถ้าสะสางไม่ได้ก็คือจบ รัฐบาลชุดนี้จึงเป็นได้เพียงรัฐบาลฟอกขาว ส่วนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ให้ความสำคัญในลำดับรองลงไป
ด้าน นายสุวินัย ภรณวลัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การกลับฟื้นคืนชีพของระบอบทักษิณ อาจกล่าวได้ว่า มาจาก 2 ปัจจัยสำคัญ คือ หนึ่ง การได้รับชัยชนะจากเงิน และ สอง การยึดกุมอำนาจการเมืองท้องถิ่น แต่สิ่งที่แตกต่างจากเดิม และเป็นปัญหาที่สำคัญในการการบริหารประเทศของกลุ่มทักษิณ คือ ปัญหาความชอบธรรม และกลไกการตรวจสอบที่เข้มแข็งขึ้นจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนั้น กลุ่มทักษิณ จะไม่สามารถทำอะไรได้ตามใจชอบเหมือนเดิม
ส่วนความขัดแย้งทางการเมืองจะยังคงมีอยู่อย่างรุนแรง ระหว่างฝ่ายอำมาตยาธิปไตย กับ ฝ่ายทักษิณ ในขณะที่ฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะถอยออกมาอยู่บนภู การวัดพลังของทั้งสองฝ่าย ถ้าฝ่ายทักษิณ อยู่ในสถานะได้เปรียบกลุ่มอำมาตยาธิปไตย จะเป็นกลุ่มแรกที่ถูกเช็กบิล ส่วนกลุ่มพันธมิตรฯ ได้มีความพยายามรอมชอมกันมาหลายรอบ จึงไม่อยู่ในสงครามของทั้ง 2 ฝ่าย
ถ้าถึงจุดหนึ่งสถานการณ์ความขัดแย้งยังไม่จบ ไม่มีแนวโน้มที่จะรอมชอม และฝ่ายทักษิณต้องการจะเอาคืน ทั้งสองฝ่ายจะสู้กันจนถึงขั้นนองเลือด แต่ถ้าทางฝ่ายทักษิณฉลาดไม่เลือกแนวทางนี้ และเลือกที่จะรอมชอม ก็มีความเป็นไปได้ว่า พรรคพลังประชาชน จะเป็นเหมือนเช่น พรรค LDP ของญี่ปุ่นได้ไม่ยาก คือ บริหารอย่างต่อเนื่องยาวนานไปอีกหลายปี ด้วยการทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เกมการเมืองอาจเปลี่ยนแบบพลิกกระดาน ถ้าหากกระบวนตุลาการภิวัฒน์ทำงาน เพราะขณะนี้มีหลายคดีที่กำลังสู่กระบวนการยุติธรรม แต่จะให้เป็นอย่างประเทศเกาหลีที่อดีตประธานาธิบดี ถูกตัดสินจำคุก คงเป็นไปได้ยาก เพราะประเทศไทยยังมีปัญหาเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย
เมื่อวานนี้ (24 ม.ค.) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสัมมนาในหัวข้อเรื่อง “นโยบายเศรษฐกิจการเงินและการเมือง 2551” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นายชวินทร์ ลีนะบรรจง อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึง การบริหารงานภายใต้การนำของพรรคพลังประชาชน ที่กำลังเตรียมจัดตั้งรัฐบาลในขณะนี้ ว่า ไม่มั่นใจว่า รัฐบาลของพรรคพลังประชาชนจะสามารถพาประเทศผ่านพ้นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่เกิดขึ้นทั่วโลกในขณะนี้ได้ เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้ไม่มีแนวนโยบายเศรษฐกิจที่ชัดเจน การหาเสียงที่ผ่านมา ไม่ได้พูดถึงนโยบายเศรษฐกิจมากนัก ซึ่งที่ผ่านมา ก็ได้ประกาศภารกิจชัดเจนว่าจะเข้ามาทำหน้าที่เพื่อสะสางคดีความให้กับอดีตผู้นำประเทศ
ข้อสังเกตประการหนึ่ง คือ การตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่รัฐบาลชุดนี้ไม่ให้ความสำคัญเท่าไหร่ จะเอาใครเข้ามาบริหารก็ได้ เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญกับการสะสางคดีความมากกว่า นอกจากนี้ ทั้งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ประมุขฝ่ายบริหาร ก็ล้วนแล้วแต่มีคดีความติดตัว ดังนั้น การเข้ามาทำงานในครั้งนี้จึงถือเป็นเดิมพันสำคัญถ้าสะสางไม่ได้ก็คือจบ รัฐบาลชุดนี้จึงเป็นได้เพียงรัฐบาลฟอกขาว ส่วนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ให้ความสำคัญในลำดับรองลงไป
ด้าน นายสุวินัย ภรณวลัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การกลับฟื้นคืนชีพของระบอบทักษิณ อาจกล่าวได้ว่า มาจาก 2 ปัจจัยสำคัญ คือ หนึ่ง การได้รับชัยชนะจากเงิน และ สอง การยึดกุมอำนาจการเมืองท้องถิ่น แต่สิ่งที่แตกต่างจากเดิม และเป็นปัญหาที่สำคัญในการการบริหารประเทศของกลุ่มทักษิณ คือ ปัญหาความชอบธรรม และกลไกการตรวจสอบที่เข้มแข็งขึ้นจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนั้น กลุ่มทักษิณ จะไม่สามารถทำอะไรได้ตามใจชอบเหมือนเดิม
ส่วนความขัดแย้งทางการเมืองจะยังคงมีอยู่อย่างรุนแรง ระหว่างฝ่ายอำมาตยาธิปไตย กับ ฝ่ายทักษิณ ในขณะที่ฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะถอยออกมาอยู่บนภู การวัดพลังของทั้งสองฝ่าย ถ้าฝ่ายทักษิณ อยู่ในสถานะได้เปรียบกลุ่มอำมาตยาธิปไตย จะเป็นกลุ่มแรกที่ถูกเช็กบิล ส่วนกลุ่มพันธมิตรฯ ได้มีความพยายามรอมชอมกันมาหลายรอบ จึงไม่อยู่ในสงครามของทั้ง 2 ฝ่าย
ถ้าถึงจุดหนึ่งสถานการณ์ความขัดแย้งยังไม่จบ ไม่มีแนวโน้มที่จะรอมชอม และฝ่ายทักษิณต้องการจะเอาคืน ทั้งสองฝ่ายจะสู้กันจนถึงขั้นนองเลือด แต่ถ้าทางฝ่ายทักษิณฉลาดไม่เลือกแนวทางนี้ และเลือกที่จะรอมชอม ก็มีความเป็นไปได้ว่า พรรคพลังประชาชน จะเป็นเหมือนเช่น พรรค LDP ของญี่ปุ่นได้ไม่ยาก คือ บริหารอย่างต่อเนื่องยาวนานไปอีกหลายปี ด้วยการทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เกมการเมืองอาจเปลี่ยนแบบพลิกกระดาน ถ้าหากกระบวนตุลาการภิวัฒน์ทำงาน เพราะขณะนี้มีหลายคดีที่กำลังสู่กระบวนการยุติธรรม แต่จะให้เป็นอย่างประเทศเกาหลีที่อดีตประธานาธิบดี ถูกตัดสินจำคุก คงเป็นไปได้ยาก เพราะประเทศไทยยังมีปัญหาเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย