ตลาดขายตั๋วไทยอิ่มตัว “ไทยทิกเก็ต” โกอินเตอร์ วางหมากลุยต่างประเทศ ประเดิมเซาท์อีสต์เอเชีย 4 โปรเจกต์ใหญ่ ส่วนตลาดในประเทศ ออกแรงสุดฤทธิ์ ทุ่ม 15 ล้านบาท มุ่งขายตั๋วรถ บข ส. เป็นหลัก หลังพบ ปีนี้มีการจัดงานที่ต้องมีการซื้อบัตรเข้าชมลดลง 20% จาก 160 งานในปีก่อน มั่นใจจะยังมีรายได้เติบโตอย่างน้อย 10% เท่าเป้าการเติบโตของปีก่อน
นายโชคชัย เอี่ยมฤทธิ์ไกร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไทยทิกเก็ตเมเจอร์ จำกัด เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า สถานการณ์การจัดงานต่างๆ ที่ต้องมีการซื้อบัตรเข้าชม ในช่วง เดือนม.ค.-ก.พ.นี้ ไม่ค่อยแตกต่างกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมานัก ถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยแตกต่างกันบ้างก็ตาม กล่าวคือ ช่วงปีก่อนจะมีเรื่องของการลอบวางระเบิด แต่ปีนี้ ประเทศไทยมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน กับการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จึงทำให้สถานการณ์บ้านเมือง อยู่ในภาวะโศกเศร้า งานต่างๆจึงมีการเลื่อนออกไป ซึ่งหากมองในภาพรวมตลาดตลอดทั้งปีแล้ว เชื่อว่าปีนี้จะมีงานต่างๆที่ถูกจัดขึ้น โดยมีการซื้อบัตรเข้าชมลดน้อยลงจากปีที่ผ่านมาประมาณ 20% จากปีก่อนที่มีกว่า 160 งาน
ดังนั้นหากภาพรวมตลาดมีการจัดงานลดลง รายได้หลักของไทยทิกเก็ตฯ ที่มาจากการจำหน่ายบัตรก็จะลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้แนวโน้มการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯของปีนี้ จะมุ่งเน้นในเรื่องของการจำหน่ายบัตรโดยสารรถประจำทาง เป็นหลัก โดยปีนี้ได้เตรียมงบประมาณทางการตลาดมากกว่าปีก่อนเล็กน้อย จาก 12 ล้านบาท เป็น 15 ล้านบาท ซึ่งหลังจากทำตลาดมา 1 ปี ผู้บริโภคเริ่มรับรู้มากขึ้นแล้ว ปีนี้จึงมุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจดังกล่าว
นอกจากนี้บริษัทฯยังได้เพิ่มนิวบิซิเนสใหม่ที่จะเข้ามาดูแลธุรกิจการจำหน่ายบัตรในระดับต่างประเทศมากยิ่งขึ้นด้วย หลังจากในปีที่ผ่านมา ได้เริ่มทำธุรกิจในลักษณะดังกล่าวแล้ว กับพาร์ทเนอร์ในประเทศมาเลเซีย โดยเป็นการขายซอฟท์แวร์ระบบการขายบัตรให้ ขณะที่ในปีนี้บริษัทฯมีโปรเจกต์การดำเนินธุรกิจระดับต่างประเทศอยู่ประมาณ 4-5 โปรเจกต์ โดยช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้ดำเนินงานไปแล้ว 1 โปรเจกต์ กับการเข้าไปรับจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตให้กับศิลปินนักร้อง “แจ๊กกี้ ชุง” ที่ประเทศฮ่องกง
“ปีนี้บริษัทฯจะรุกหนัก ในการดำเนินธุรกิจระดับต่างประเทศมากยิ่งขึ้น โดยมองว่าตลาดในประเทศ ไทยนั้น ทางไทยทิกเก็ตฯได้ครอบคลุมลูกค้าทั้งหมดเกือบหมดแล้ว เรียกได้ว่าตลาดในประเทศเริ่มอิ่มตัว จึงต้องมองตลาดระดับต่างประเทศเป็นลำดับต่อไป”
นายโชคชัยกล่าวต่อว่า การทำตลาดระดับต่างประเทศครั้งนี้ สามารถกล่าวได้เพียงว่า บริษัทฯจะเริ่มจากประเทศในแถบเซาท์อีสต์เอเชียก่อน ซึ่งรูปแบบการดำเนินธุรกิจ เบื้องต้นมองว่ามีได้หลายทาง ทั้งแบบการเข้าไปเปิดสาขาสร้างออฟฟิศ หรือร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ในประเทศนั้นๆ ซึ่งเฉพาะการเข้าไปเปิดสาขาสร้างออฟฟิศ คาดว่าจะต้องใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท โดยมองว่าควรที่จะมีออฟฟิศในแต่ละประเทศจึงจะดี
ทั้งนี้หากสามารถดำเนินธุรกิจใน 4 โปรเจกต์ได้ตามแผนที่วางไว้ จะส่งผลให้ สัดส่วนรายได้ของไทยทิกเก็ตฯ เปลี่ยนเป็น ธุรกิจขายบัตรในประเทศ 80% ธุรกิจขายบัตรรถโดยสาร 10% และธุรกิจขายบัตรในต่างประเทศ 10% จากเดิมในปีที่ผ่านมาบริษัทฯมีรายได้ 2 ทาง คือ ธุรกิจขายบัตรในประเทศ 90% และธุรกิจขายบัตรรถโดยสาร 10% โดยปีนี้ คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างน้อย 10% เท่ากับเป้าการเติบโตในปีที่ผ่านมา ที่มีมูลค่าประมาณ 80-100 ล้านบาท
นายโชคชัย เอี่ยมฤทธิ์ไกร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไทยทิกเก็ตเมเจอร์ จำกัด เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า สถานการณ์การจัดงานต่างๆ ที่ต้องมีการซื้อบัตรเข้าชม ในช่วง เดือนม.ค.-ก.พ.นี้ ไม่ค่อยแตกต่างกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมานัก ถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยแตกต่างกันบ้างก็ตาม กล่าวคือ ช่วงปีก่อนจะมีเรื่องของการลอบวางระเบิด แต่ปีนี้ ประเทศไทยมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน กับการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จึงทำให้สถานการณ์บ้านเมือง อยู่ในภาวะโศกเศร้า งานต่างๆจึงมีการเลื่อนออกไป ซึ่งหากมองในภาพรวมตลาดตลอดทั้งปีแล้ว เชื่อว่าปีนี้จะมีงานต่างๆที่ถูกจัดขึ้น โดยมีการซื้อบัตรเข้าชมลดน้อยลงจากปีที่ผ่านมาประมาณ 20% จากปีก่อนที่มีกว่า 160 งาน
ดังนั้นหากภาพรวมตลาดมีการจัดงานลดลง รายได้หลักของไทยทิกเก็ตฯ ที่มาจากการจำหน่ายบัตรก็จะลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้แนวโน้มการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯของปีนี้ จะมุ่งเน้นในเรื่องของการจำหน่ายบัตรโดยสารรถประจำทาง เป็นหลัก โดยปีนี้ได้เตรียมงบประมาณทางการตลาดมากกว่าปีก่อนเล็กน้อย จาก 12 ล้านบาท เป็น 15 ล้านบาท ซึ่งหลังจากทำตลาดมา 1 ปี ผู้บริโภคเริ่มรับรู้มากขึ้นแล้ว ปีนี้จึงมุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจดังกล่าว
นอกจากนี้บริษัทฯยังได้เพิ่มนิวบิซิเนสใหม่ที่จะเข้ามาดูแลธุรกิจการจำหน่ายบัตรในระดับต่างประเทศมากยิ่งขึ้นด้วย หลังจากในปีที่ผ่านมา ได้เริ่มทำธุรกิจในลักษณะดังกล่าวแล้ว กับพาร์ทเนอร์ในประเทศมาเลเซีย โดยเป็นการขายซอฟท์แวร์ระบบการขายบัตรให้ ขณะที่ในปีนี้บริษัทฯมีโปรเจกต์การดำเนินธุรกิจระดับต่างประเทศอยู่ประมาณ 4-5 โปรเจกต์ โดยช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้ดำเนินงานไปแล้ว 1 โปรเจกต์ กับการเข้าไปรับจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตให้กับศิลปินนักร้อง “แจ๊กกี้ ชุง” ที่ประเทศฮ่องกง
“ปีนี้บริษัทฯจะรุกหนัก ในการดำเนินธุรกิจระดับต่างประเทศมากยิ่งขึ้น โดยมองว่าตลาดในประเทศ ไทยนั้น ทางไทยทิกเก็ตฯได้ครอบคลุมลูกค้าทั้งหมดเกือบหมดแล้ว เรียกได้ว่าตลาดในประเทศเริ่มอิ่มตัว จึงต้องมองตลาดระดับต่างประเทศเป็นลำดับต่อไป”
นายโชคชัยกล่าวต่อว่า การทำตลาดระดับต่างประเทศครั้งนี้ สามารถกล่าวได้เพียงว่า บริษัทฯจะเริ่มจากประเทศในแถบเซาท์อีสต์เอเชียก่อน ซึ่งรูปแบบการดำเนินธุรกิจ เบื้องต้นมองว่ามีได้หลายทาง ทั้งแบบการเข้าไปเปิดสาขาสร้างออฟฟิศ หรือร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ในประเทศนั้นๆ ซึ่งเฉพาะการเข้าไปเปิดสาขาสร้างออฟฟิศ คาดว่าจะต้องใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท โดยมองว่าควรที่จะมีออฟฟิศในแต่ละประเทศจึงจะดี
ทั้งนี้หากสามารถดำเนินธุรกิจใน 4 โปรเจกต์ได้ตามแผนที่วางไว้ จะส่งผลให้ สัดส่วนรายได้ของไทยทิกเก็ตฯ เปลี่ยนเป็น ธุรกิจขายบัตรในประเทศ 80% ธุรกิจขายบัตรรถโดยสาร 10% และธุรกิจขายบัตรในต่างประเทศ 10% จากเดิมในปีที่ผ่านมาบริษัทฯมีรายได้ 2 ทาง คือ ธุรกิจขายบัตรในประเทศ 90% และธุรกิจขายบัตรรถโดยสาร 10% โดยปีนี้ คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างน้อย 10% เท่ากับเป้าการเติบโตในปีที่ผ่านมา ที่มีมูลค่าประมาณ 80-100 ล้านบาท