ยูนิ-ชาร์ม ปรับแผยรุก ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ดันมามี่โพโคะเจาะตลาดสำหรับเด็กแรกเกิดมากขึ้น เหตุแนวโน้มเติบโตดี
นายฮิโรยูกิ ยางิ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก บริษัท ยูนิ-ชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผ้าอ้อมสำเร็จรูป มามี่โพโคะ เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯมีแผนที่จะให้ความสำคัญกับการทำตลาดผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับกลุ่มเป้าหมายเด็กแรกเกิด (New Born) เป็นตลาดหลัก เพื่อรองรับกับแนวโน้มของตลาดในกลุ่มนี้ที่มีการเติบโตมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีส่วนแบ่งในตลาดผ้าอ้อมสำหรับเด็กแรกเกิด 95% และคาดว่าในปีนี้จะเติบโตขึ้นมากกว่าตลาดรวมเล็กน้อย ที่คาดว่าจะมีประมาณ 10-20%
ขณะที่แนวทางการทำตลาดนั้น ยังคงใกล้เคียงกับการทำตลาดเมื่อปีที่แล้ว ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก โดยแนวทางหลักๆก็ยังจะคงเน้นการสื่อสารผ่านสื่อต่างๆและกลยุทธ์การแจกสินค้าตัวอย่างมากกว่า 2 แสนชิ้น ให้กลุ่มเป้าหมายได้ทดลองใช้ ซึ่งจะเน้นการส่งเสริมการขายสินค้าในกลุ่มดังกล่าวเป็นหลัก และเน้นการทำตลาดผ่านช่องทางโรงพยาบาลและร้านค้าปลีกมากขึ้น
ทั้งนี้ ผ้าอ้อมสำเร็จรูปกลุ่มเด็กแรกเกิดนั้น แม้ว่าปัจจุบันจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพียง 4% นั้น จากมูลค่าตลาดรวมของผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่มีมูลค่ามากกว่า 6,000-7,000 ล้านบาทต่อปี ทำให้ยังมีโอกาสที่ยังเติบโตได้อีกมาก เพราะตลาดยังเล็กอยู่ คาดว่าปีนี้ตลาดกลุ่มนี้จะมีอัตราการเติบโตมากกว่า 30% ซึ่งอาจจะสูงกว่าอัตราการเติบโตโดยรวมของตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่มีประมาณ 10-20% เท่านั้นในปีนี้
“สิ่งที่ต้องทำคือ การปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมของผู้ปกคอรงพ่อแม่เด็ก เพื่อให้กล้าตัดสินใจใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปในเด็กแรกเกิดมากขึ้น เพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว เรียกได้ว่า 100% ในกรุงเทพ และประมาณ 80% ในต่างจังหวัดจะใช้ผ้าอ้อม แต่ก็กลัวเรื่องความปลอดภัยต่อการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กแรกเกิด เพราะกลัวเรื่องปัญหาการระคายเคืองต่อผิวพรรณและเป็นการสิ้นเปลืองอีกด้วย”
ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทฯเมื่อปีที่แล้ว (เดือนมีนาคม 2549 – เดือนเมษายน 2550) คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 15% ซึ่งเติบโตมากกว่าตลาดรวมที่มีการเติบโต 14% ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่หนึ่งคือ ประมาณ 66%-67% จากตลาดรวมกว่า 6,000-7,000 ล้านบาท
ล่าสุดบริษัทฯได้เข้าร่วมสนับสนุนงาน “ไทยแลนด์ เบบี้ แอนด์ คิดส์ เบสท์ บาย 2008” ที่จะมีขึ้นในวันที่ 14-17 ก.พ.2551 เป็นงานที่เกี่ยวกับสินค้าเด็ก ซึ่งถือเป็นการทำตลาดผ่านการออกโรดโชว์เป็นครั้งแรกอีกด้วย
นายฮิโรยูกิ ยางิ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก บริษัท ยูนิ-ชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผ้าอ้อมสำเร็จรูป มามี่โพโคะ เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯมีแผนที่จะให้ความสำคัญกับการทำตลาดผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับกลุ่มเป้าหมายเด็กแรกเกิด (New Born) เป็นตลาดหลัก เพื่อรองรับกับแนวโน้มของตลาดในกลุ่มนี้ที่มีการเติบโตมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีส่วนแบ่งในตลาดผ้าอ้อมสำหรับเด็กแรกเกิด 95% และคาดว่าในปีนี้จะเติบโตขึ้นมากกว่าตลาดรวมเล็กน้อย ที่คาดว่าจะมีประมาณ 10-20%
ขณะที่แนวทางการทำตลาดนั้น ยังคงใกล้เคียงกับการทำตลาดเมื่อปีที่แล้ว ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก โดยแนวทางหลักๆก็ยังจะคงเน้นการสื่อสารผ่านสื่อต่างๆและกลยุทธ์การแจกสินค้าตัวอย่างมากกว่า 2 แสนชิ้น ให้กลุ่มเป้าหมายได้ทดลองใช้ ซึ่งจะเน้นการส่งเสริมการขายสินค้าในกลุ่มดังกล่าวเป็นหลัก และเน้นการทำตลาดผ่านช่องทางโรงพยาบาลและร้านค้าปลีกมากขึ้น
ทั้งนี้ ผ้าอ้อมสำเร็จรูปกลุ่มเด็กแรกเกิดนั้น แม้ว่าปัจจุบันจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพียง 4% นั้น จากมูลค่าตลาดรวมของผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่มีมูลค่ามากกว่า 6,000-7,000 ล้านบาทต่อปี ทำให้ยังมีโอกาสที่ยังเติบโตได้อีกมาก เพราะตลาดยังเล็กอยู่ คาดว่าปีนี้ตลาดกลุ่มนี้จะมีอัตราการเติบโตมากกว่า 30% ซึ่งอาจจะสูงกว่าอัตราการเติบโตโดยรวมของตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่มีประมาณ 10-20% เท่านั้นในปีนี้
“สิ่งที่ต้องทำคือ การปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมของผู้ปกคอรงพ่อแม่เด็ก เพื่อให้กล้าตัดสินใจใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปในเด็กแรกเกิดมากขึ้น เพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว เรียกได้ว่า 100% ในกรุงเทพ และประมาณ 80% ในต่างจังหวัดจะใช้ผ้าอ้อม แต่ก็กลัวเรื่องความปลอดภัยต่อการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กแรกเกิด เพราะกลัวเรื่องปัญหาการระคายเคืองต่อผิวพรรณและเป็นการสิ้นเปลืองอีกด้วย”
ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทฯเมื่อปีที่แล้ว (เดือนมีนาคม 2549 – เดือนเมษายน 2550) คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 15% ซึ่งเติบโตมากกว่าตลาดรวมที่มีการเติบโต 14% ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่หนึ่งคือ ประมาณ 66%-67% จากตลาดรวมกว่า 6,000-7,000 ล้านบาท
ล่าสุดบริษัทฯได้เข้าร่วมสนับสนุนงาน “ไทยแลนด์ เบบี้ แอนด์ คิดส์ เบสท์ บาย 2008” ที่จะมีขึ้นในวันที่ 14-17 ก.พ.2551 เป็นงานที่เกี่ยวกับสินค้าเด็ก ซึ่งถือเป็นการทำตลาดผ่านการออกโรดโชว์เป็นครั้งแรกอีกด้วย
