สทท.จี้รัฐเร่งร่ายมนต์ด้านความเชื่อมั่นกู้ภาพลักษณ์ประเทศไทย ลบคำสบประมาท ว่า เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยสูงเทียบชั้นปากีสถาน และอิรัก พร้อมเร่งพัฒนาศักยภาพภาคเอกชนรายย่อย ทั้งด้านนวัตกรรมและการให้เงินอุดหนุน สู้ศึกกลุ่มทุนข้ามชาติ ยาหอมถ้าทำสำเร็จ ปีนี้รายได้จากการท่องเที่ยวพุ่งปรี๊ดโตกว่า 10% ชัวร์
นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยว่า การที่รัฐบาลมุ่งหวังสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงต้องการให้รัฐบาลใหม่ และรัฐมนตรีที่จะเข้ามาดูแลงานด้านการท่องเที่ยวได้ใส่ใจและให้ความสำคัญในเรื่องของการสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยว เพื่อให้เขาได้เดินทางเข้ามาเที่ยวที่ประเทศไทยเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ เพราะจากผลวิจัยและเก็บข้อมูลจากหลายสถาบัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ล้วนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ว่า สถานการณ์ทางการเมืองของไทย จะมีบทบาทมากต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น ความมั่นใจจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการตัดสินใจเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
“ปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวของไทยตกต่ำไปแล้ว จากเหตุการเมือง และระเบิด ฉะนั้น ปีนี้เมื่อสถานการณ์สงบเรียบร้อย ตัวเลขนักท่องเที่ยวต้องดีดกลับมาที่เดิมหรือมากกว่า จึงขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทางการเมืองดูเรื่องการสร้างความมั่นใจแก่ชาวต่างชาติให้มากๆ เพราะความจริงสถานการณ์ของประเทศไทยไม่ได้ร้ายแรงเหมือนปากีสถาน หรืออิรัก แต่กลับถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีความเสี่ยงเท่ากับประเทศทั้งสอง ตรงนี้จึงเป็นหน้าที่หลักของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศที่ต้องให้ความสำคัญกับการจัดอันดับด้วย”
นอกจากนั้น ยังต้องการให้รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยเฉพาะเรื่องเงินทุน และนวัตกรรมใหม่ๆ ช่วยเปิดโลกทัศน์ให้แก่ภาคเอกชน เพราะที่ผ่านมา รัฐบาลจะใส่ใจดูแลเฉพาะเรื่องการทำตลาด และการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว เป็นหลัก
นางกงกฤช กล่าวอีกว่า หากรัฐบาลสามารถเข้ามาดูแลสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นได้ มั่นใจว่า ในปี 2551 การท่องเที่ยวของไทย จะเติบโตสูงกว่าที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะในส่วนของรายได้ โดยจากการประเมินของ สทท.คาดว่า ปี 2551 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะเติบโตจากปีก่อน 6% และมีรายได้เข้าประเทศเพิ่มจากปีก่อนไม่น้อยกว่า 10% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่า ที่ ททท.คาดว่า รายได้นักท่องเที่ยวปีนี้จะโต 8%
ทั้งนี้ การเติบโตที่มากกว่าที่คาดการณ์ โดยเฉพาะเรื่องรายได้ เพราะประเทศไทยเริ่มเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวคุณภาพตลาดใหม่ๆ เช่น แคนาดา ออสเตรเลีย และค่าเงินของ 2 ประเทศนี้ก็แข็งเช่นเดียวกับไทย ทำให้มีศักยภาพที่จะเดินทางออกนอกประเทศได้มากขึ้น เช่นเดียวกับตลาดยุโรป ค่าเงินยูโรก็แข็งแกร่งเช่นกัน
สำหรับแผนการทำงานของ สทท.ในปีนี้ ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพของภาคเอกชนโดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ให้แข็งแกร่ง สู้กับธุรกิจของกลุ่มทุนข้ามชาติได้ โดยสิ่งที่เน้นเป็นพิเศษ คือ เรื่องการสร้างมาตรฐานทางธุรกิจ เช่น โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร และอื่นๆ ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ให้เทียบชั้นสากล การผลักดันให้โอกาสแก่ธุรกิจเอสเอ็มอีได้ไปเปิดตลาดใหม่ๆในต่างประเทศ โดยคาดว่า จะขอใช้เงินสนับสนุน สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ตลอดปีราว 25 ล้าน
นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยว่า การที่รัฐบาลมุ่งหวังสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงต้องการให้รัฐบาลใหม่ และรัฐมนตรีที่จะเข้ามาดูแลงานด้านการท่องเที่ยวได้ใส่ใจและให้ความสำคัญในเรื่องของการสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยว เพื่อให้เขาได้เดินทางเข้ามาเที่ยวที่ประเทศไทยเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ เพราะจากผลวิจัยและเก็บข้อมูลจากหลายสถาบัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ล้วนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ว่า สถานการณ์ทางการเมืองของไทย จะมีบทบาทมากต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น ความมั่นใจจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการตัดสินใจเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
“ปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวของไทยตกต่ำไปแล้ว จากเหตุการเมือง และระเบิด ฉะนั้น ปีนี้เมื่อสถานการณ์สงบเรียบร้อย ตัวเลขนักท่องเที่ยวต้องดีดกลับมาที่เดิมหรือมากกว่า จึงขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทางการเมืองดูเรื่องการสร้างความมั่นใจแก่ชาวต่างชาติให้มากๆ เพราะความจริงสถานการณ์ของประเทศไทยไม่ได้ร้ายแรงเหมือนปากีสถาน หรืออิรัก แต่กลับถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีความเสี่ยงเท่ากับประเทศทั้งสอง ตรงนี้จึงเป็นหน้าที่หลักของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศที่ต้องให้ความสำคัญกับการจัดอันดับด้วย”
นอกจากนั้น ยังต้องการให้รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยเฉพาะเรื่องเงินทุน และนวัตกรรมใหม่ๆ ช่วยเปิดโลกทัศน์ให้แก่ภาคเอกชน เพราะที่ผ่านมา รัฐบาลจะใส่ใจดูแลเฉพาะเรื่องการทำตลาด และการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว เป็นหลัก
นางกงกฤช กล่าวอีกว่า หากรัฐบาลสามารถเข้ามาดูแลสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นได้ มั่นใจว่า ในปี 2551 การท่องเที่ยวของไทย จะเติบโตสูงกว่าที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะในส่วนของรายได้ โดยจากการประเมินของ สทท.คาดว่า ปี 2551 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะเติบโตจากปีก่อน 6% และมีรายได้เข้าประเทศเพิ่มจากปีก่อนไม่น้อยกว่า 10% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่า ที่ ททท.คาดว่า รายได้นักท่องเที่ยวปีนี้จะโต 8%
ทั้งนี้ การเติบโตที่มากกว่าที่คาดการณ์ โดยเฉพาะเรื่องรายได้ เพราะประเทศไทยเริ่มเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวคุณภาพตลาดใหม่ๆ เช่น แคนาดา ออสเตรเลีย และค่าเงินของ 2 ประเทศนี้ก็แข็งเช่นเดียวกับไทย ทำให้มีศักยภาพที่จะเดินทางออกนอกประเทศได้มากขึ้น เช่นเดียวกับตลาดยุโรป ค่าเงินยูโรก็แข็งแกร่งเช่นกัน
สำหรับแผนการทำงานของ สทท.ในปีนี้ ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพของภาคเอกชนโดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ให้แข็งแกร่ง สู้กับธุรกิจของกลุ่มทุนข้ามชาติได้ โดยสิ่งที่เน้นเป็นพิเศษ คือ เรื่องการสร้างมาตรฐานทางธุรกิจ เช่น โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร และอื่นๆ ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ให้เทียบชั้นสากล การผลักดันให้โอกาสแก่ธุรกิจเอสเอ็มอีได้ไปเปิดตลาดใหม่ๆในต่างประเทศ โดยคาดว่า จะขอใช้เงินสนับสนุน สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ตลอดปีราว 25 ล้าน