xs
xsm
sm
md
lg

สแน็กงัดกลยุทธ์ฝ่าวิกฤตปีหนูไฟ ชูสุขภาพธัญพืชมาแรง-ต้นทุนพุ่ง ชี้รายเล็กแย่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ยูอาร์ซี ชี้ ตลาดขนมขบเคี้ยวปีหนู เริ่มโหมโรงชูจุดขายเพื่อสุขภาพ ไขมันต่ำ ปั้นสแน็กธัญพืช เสริมภาพลักษณ์ของว่าง ทานเล่น รับมือกระแสสุขภาพบูม กฎเหล็กภาครัฐ ระบุปี 51 ผู้ประกอบการหืดขึ้นคอ ตลาดโตไม่เกิน 5% กำลังซื้อหด คนเจียดเงินกินขนมขบเคี้ยวลดลง แถมต้นทุนผลิตพุ่ง เชื่อแบรนด์เล็กอยู่ลำบาก

นายสมนึก เปล่งสุริยการ ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายขนมขบเคี้ยว JACK'n JILL, ครีมโอ, ฟันโอ, โรลเลอร์ และโคสเตอร์ เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า ผลพวงจากกระแสสุขภาพที่มาแรงอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ประกอบกับภาครัฐลดเวลาโฆษณารายการเด็กจาก 12 นาที เป็น 10 นาที การให้ติดตราสัญลักษณ์เป็นสินค้าที่บริโภคแล้วอ้วน และห้ามแจกของพรีเมียมในขนมขบเคี้ยว ทำให้ผู้ประกอบการขนมขบเคี้ยวต้องปรับจุดขายใหม่หันมาเน้นเพื่อสุขภาพ ตลอดจนการพัฒนาสินค้ากลุ่มธัญพืชมากขึ้น

ดังนั้น ภาพรวมการแข่งขันตลาดขนมขบเคี้ยวในปีนี้ ผู้ประกอบการจะชูจุดขายผ่านโฆษณา ในแง่เป็นขนมที่มีไขมันต่ำ ปริมาณเกลือน้อยลง การเติมวิตามินต่างๆ อาทิ เอ บี ฯลฯ หรือชูจุดขายการมีส่วนผสมของธัญพืช ตลอดจนการเปิดตัวสินค้าประเภทธัญพืชออกมาทำตลาดอย่างจริงจัง ซึ่งเทรนด์ดังกล่าวเกิดขึ้นในตลาดต่างประเทศมานานแล้ว สำหรับในประเทศไทยขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ ต้องใช้เวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และผู้บริโภคไปพร้อมๆ กัน เนื่องจากคนไทยยังมีติดนิสัยการกินขนมขบเคี้ยวที่ต้องอร่อยเป็นหลัก แต่เพื่อสุขภาพเป็นเรื่องรองอยู่

“การปรับตัวโดยหันมาเน้นจุดขายเพื่อสุขภาพ ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ขนมขบเคี้ยวให้ดีขึ้นในสายตาผู้บริโภคเท่านั้น แต่ไม่สามารถทลายภาพลักษณ์ขนมขบเคี้ยว ซึ่งเป็นขนมทานเล่นไม่ได้มีคุณค่าทางโภชนาการ ดังนั้น เซกเมนต์เพื่อสุขภาพจะเกิดขึ้นมาได้ ต้องใช้เวลาในการให้ข้อมูลปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค”

ทั้งนี้ ภาพรวมขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพขณะนี้ยังเป็นตลาดที่เล็กมาก ได้แก่ ตลาดข้าวอบกรอบมูลค่า 600 ล้านบาท โดยหดตัวลง 20% ในปีที่ผ่านมา ส่วนตลาดลูกอมมีเพียงลูกเล่นสารไซลิทอล คอลลาเจน หรือในกลุ่มเยลลี่ ก็ใส่คาลาจีแนน ส่วนขนมขบเคี้ยวกลุ่มธัญพืชยังไม่แพร่หลายกลุ่มผู้บริโภคไทย เนื่องจากมีข้อจำกัด คือ แข็งไม่น่ากิน เมื่อเทียบกับต่างประเทศขนมขบเคี้ยวพัฒนาไปอีกระดับหนึ่งแล้ว โดยมีมันฝรั่งทอดกรอบไม่มีไขมัน เป็นต้น

**ตลาดโตน้อยงดออกสินค้าใหม่**
นายสมนึก กล่าวว่า สภาพตลาดขนมขบเคี้ยวมูลค่า 12,000 ล้านบาท ในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตไม่เกิน 5% ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากมองว่าสภาพเศรษฐกิจปีนี้ไม่ได้ดีมากนัก กำลังการซื้อของผู้บริโภคลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันสูงขึ้นกระทบต่อราคาสินค้าต้องปรับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ คาดว่า มันฝรั่งทอดกรอบมูลค่า 3,000-3,600 ล้านบาท จะเป็นแคธิกอรี่ที่มีอัตราการเติบโตที่ดีอยู่ ส่วนขนมขึ้นรูปมูลค่า 3,000-3,600 ล้านบาท ปกติการเติบโตจะมาจากการทำโปรโมชัน ดังนั้น การเติบโตจึงขึ้นกับปรับตัวของผู้ประกอบการที่จะหันมาเน้นการทำโปรโมชันอย่างไรกับกฎเกณฑ์ที่ อย.วางไว้

อย่างไรก็ตาม จากสภาพตลาดที่เติบโตน้อย ทำให้คาดว่าผู้ประกอบการจะเปิดตัวสินค้าน้อยลง แต่หันไปมุ่งเน้นสินค้าเดิมที่อยู่ให้มีความแข็งแกร่งทางการตลาด ซึ่งการแข่งขันจะมีความรุนแรงมากขึ้น เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด และในปีนี้แบรนด์เล็กๆ จะล้มหายตายจาก เพราะไม่สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ได้ ส่วนด้านต้นทุนการผลิตต้องยอมรับว่าเพิ่มขึ้น โดยน้ำมันปาล์มเพิ่มจาก 17-18 บาทต่อ กก.เป็น 30 บาทต่อ กก.แต่เนื่องจากผู้ประกอบการไม่กล้าปรับราคาขึ้นจากซองละ 5 บาท เป็น 6 บาท เพราะกลัวสูญเสียส่วนแบ่งตลาดดังกล่าว คาดว่าปีนี้ผู้ประกอบการจะปรับลดปริมาณขนมขบเคี้ยวในซองลง

สำหรับนโยบายของบริษัทในปีนี้ จะไม่เน้นการเปิดตัวสินค้าใหม่มากนัก แต่จะเน้นสินค้าเดิมที่มีอยู่มากกว่า ส่วนสินค้ากลุ่มเพื่อสุขภาพ หรือกลุ่มธัญพืชในปีนี้ บริษัทยังไม่มุ่งเน้นมากนัก แต่จะชูจุดขายมีปริมาณไขมันต่ำ เกลือน้อยเป็นหลักมากกว่า สำหรับผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 10% ก็ถือว่าดีแล้ว เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตมากกว่า 15% หรือมีรายได้ไม่เกิน 200 ล้านบาท



กำลังโหลดความคิดเห็น