วุฒิสมาชิกเดโมแครตยื่นจดหมายเรียกร้องทรัมป์ยกเลิกการเรียกเอกอัครราชทูตเกือบ 30 คนกลับประเทศ หวั่นทำให้เกิดสุญญากาศอันตรายที่เปิดช่องให้ศัตรูอย่างรัสเซียและจีนแผ่ขยายอิทธิพล
เมื่อไม่กี่วันมานี้ คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งให้เอกอัครราชทูตที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วยุโรป เอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา เดินทางกลับวอชิงตัน เพื่อให้แน่ใจว่า คณะทูตสหรัฐฯ ทั่วโลกยึดมั่นในนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน”
กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้ระบุว่า จะส่งเอกอัครราชทูตใหม่ไปประจำในประเทศเหล่านั้นอย่างไรและเมื่อใด โดยเจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งของกระทรวง เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (22 ธ.ค.) ว่า การเรียกทูตกลับประเทศเป็นขั้นตอนมาตรฐานที่คณะบริหารชุดก่อนๆ เคยทำมา
ทว่า ส.ว.เดโมแครต 10 คนในคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาที่ร่วมกันทำจดหมายส่งถึงทรัมป์เมื่อวันพุธ (24 ) แย้งว่า การเรียกตัวเอกอัครราชทูตจำนวนมากกลับกะทันหันเป็น “ความเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติ” และไม่มีคณะบริหารชุดไหนเคยทำมาก่อนนับตั้งแต่คองเกรสจัดตั้ง Foreign Service หรือระบบบุคลากรหลักที่ดำเนินนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ ทั่วโลกเมื่อศตวรรษที่แล้ว นอกจากนั้นในขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศยังไม่มีแผนการชัดเจนเกี่ยวกับการส่งบุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมไปประจำการแทนเอกอัครราชทูตที่ถูกเรียกตัวกลับ
ในจดหมายยังระบุว่า การดำเนินการดังกล่าว เมื่อบวกกับตำแหน่งที่ยังไม่ได้มีการแต่งตั้งให้ครบถ้วน จะทำให้เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ว่างลงรวมแล้วกว่า 100 ตำแหน่ง หรือราวครึ่งหนึ่งของจำนวนเอกอัครราชทูตของอเมริกาทั่วโลก ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดสุญญากาศความเป็นผู้นำทางการทูต ทำให้ จีน รัสเซีย รวมถึงประเทศอื่นๆ อาจถือโอกาสนี้สร้างการสื่อสารปกติกับผู้นำประเทศต่างๆ และทำให้อเมริกาถูกตัดขาด รวมทั้งเปิดช่องให้ศัตรูของสหรัฐฯ แผ่ขยายอิทธิพลเพื่อจำกัดหรือกระทั่งบ่อนทำลายผลประโยชน์ของอเมริกา
ในจดหมาย ส.ว. เดโมแครตที่รวมถึง จีน ชาฮีน และ คริส เมอร์ฟีย์ ยกตัวอย่างว่า อเมริกาจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจีนที่กำลังเร่งแผ่ขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจในภูมิภาคตั้งแต่อินโด-แปซิฟิกจนถึงแอฟริกา บอลข่าน และละตินอเมริกา
“เอกอัครราชทูตในประเทศเหล่านั้นแสดงเจตนารมณ์มุ่งมั่นในการดำเนินการตามนโยบายของคณะบริหารของทั้งสองพรรคอย่างแน่วแน่มานานนับทศวรรษ และเราขอเรียกร้องให้คณะบริหารล้มเลิกการตัดสินใจทันทีก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อจุดยืนของอเมริกาทั่วโลก”
ทางด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศไม่ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับจดหมายนี้ แต่กล่าวหาว่า เดโมแครตพยายามขัดขวางการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตและเจ้าหน้าที่ทูตอาวุโสอื่นๆ
อนึ่ง เดือนกันยายนที่ผ่านมา พรรครีพับลิกันที่ควบคุมสภาสูงได้เปลี่ยนกฎเพื่อรับมือสิ่งที่ทางพรรคอ้างว่า เป็นความพยายามของเดโมแครตในการเตะถ่วงการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ในคณะบริหารของทรัมป์ ซึ่งยังคงว่างอยู่หลายตำแหน่ง
ปกติแล้วผู้รับตำแหน่งทางการเมืองจะพ้นจากหน้าที่เมื่อคณะบริหารชุดใหม่เข้าบริหารประเทศ ทว่า นักการทูตอาชีพมักถูกมองว่า ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ฝักใฝ่พรรคใด และรับตำแหน่งในต่างประเทศ 3-4 ปีไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนรัฐบาลหรือไม่ก็ตาม
ทว่า ทรัมป์ที่ไม่วางใจระบบราชการมานาน ประกาศ “ล้างบางเครือข่ายรัฐพันลึก (deep state) ” ด้วยการปลดเจ้าหน้า
ที่ที่เขามองว่า ไม่จงรักภักดีและแต่งตั้งคนของตนเองในตำแหน่งสำคัญต่างๆ
เดือนก.พ. ทรัมป์สั่งให้มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ทบทวนระบบ foreign service เพื่อให้แน่ใจว่า นโยบายต่างประเทศของตนจะได้รับการปฏิบัติตามอย่างแน่วแน่
ต่อมาในเดือนก.ค. คณะบริหารทรัมป์ปลดนักการทูตและข้าราชการพลเรือนในกระทรวงการต่างประเทศกว่า 1,300 คน ขณะที่วอชิงตันกำลังเผชิญวิกฤตมากมายในเวทีโลก ซึ่งรวมถึงสงครามในยูเครน ความขัดแย้งในกาซา และความตึงเครียดในตะวันออกระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน
(ที่มา: รอยเตอร์)


